ศาลารักษาโรค แนวทางการรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่ไปกับธรรมะ เผยแพร่กิจกรรมของมูลนิธิไทยกรุณา และให้ความรู้ด้านสมุนไพรรักษาโรค
วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554
ศาสนากับยาสมุนไพร ความเป็นไทยๆ ที่ถูกมองข้าม
วันเวลาเปลี่ยนไป ย่อมแสดงให้เห็นประจักษ์ชัด คำโบราณที่ว่า "คนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด" ภาพที่เปลี่ยนไป แต่พฤติกรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้เราคนไทยที่ผ่านยุคทาสมา ดูเหมือนจะไม่มีทาสแล้วในประเทศไทย และภาคภูมิใจกับคำว่า "ไทย" นักหนา กล่าวกันเสมอว่าเราไม่เคยเป็นอาณานิคมของประเทศไทย หากแต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะเห็นได้ชัดว่า เราได้สอนลูกหลานให้เป็นทาสที่ซื่อสัตย์ของต่างชาติไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาอยากจะยึดหรือทำอะไรกับเราก็ได้ ไม่ต้องใช้กำลังอาวุธหรือไพร่พล เฉกเช่นในอดีต เพราะชาติเหล่านั้นได้กลืนกินวัฒนธรรมที่ดีในการเป็นไทยของเรา ไปหมดสิ้นแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการดูแลชีวิตสุขภาพ
เริ่มจากการเปลี่ยนความเชื่อในทางพุทธ ที่ว่า "ทุกอย่างมาแต่กรรมที่ทำ" ไปเป็นวิทยาศาสตร์ ที่ทุกสิ่งทุกอย่างมนุษย์สร้างได้ ทำได้ มีความสามารถ ไปจนถึงคำว่า "ปล่อยไปตามธรรมชาติ " กลายเป็นใช้วิทยาศาสตร์ทำให้เป็น
คนไทยจึงเพิกเฉยสิ่งที่บรรพบุรุษสอนสั่งในการดำเนินชีวิตให้อยู่กับธรรมชาติ ทานสมุนไพรธรรมชาติ และเข้าวัดทำความดี ทำบุญทำทาน เอื้อเฟื้อผู้ทุกข์ยาก เป็นความดีไว้ปกป้องตน เมื่อวิทยาศาสตร์เข้ามามีบทบาทในชีวิต จนเลยมาถึงมีบทบาทต่อการดำรงชีพ และการรักษาสุขภาพ จนปัจจุบันกล่าวได้ว่า วิถีดั่งเดิมที่บรรพบุรุษไทยสั่งสอนมา ถูกเก็บเข้าลิ้นชักไปเรียบร้อย สิ้นความเป็นไทย เพราะถ้าถามทุกคน ก็จะหันไปพึ่งหมอ พึ่งวิทยาศาสตร์ ว่าช่วยได้กันหมดแล้ว จนในที่สุดก็สิ้นอิสรภาพความเป็นไทย หรือจะเรียกว่าใกล้สิ้นชาติก็ว่าได้ เหตุที่กล่าวเช่นนี้ ก็เนื่องด้วย ชาติเหล่านั้นมาหาเมืองขึ้นให้ส่งบรรณาการผ่าน คำขู่ ผ่านการชวนเชื่อ จนคนไทยติดยากันงอมแงมทั้งประเทศ ตั้งแต่ชาวนา กรรมกร จนถึงเศรษฐี จนพูดได้ว่า แทบจะหาคนไทยคนใดไม่ได้เลย ที่ไม่เคยกินยาฝรั่ง และไม่ต้องพกยกติดบ้านติดตัวไว้
หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่า ถ้าเขายังอยากได้บรรณาการจากเรา เราก็ต้องทำงานทำเงิน เพื่อเป็นค่ายาส่งให้เขา ดูจากงบประมาณปัจจุบัน ก็ราว สามแสนล้านบาทต่อปี ไม่รวมอย่างอื่นอีก แต่ถ้าวันใดเขาจะเอาโน่นเอานี่มากกว่าบรรณาการแล้ว เพียงแค่ไม่ผลิตยาส่งมาให้คนไทยทาน เราก็คงต้องลงแดงและวิ่งแจ้นเอาของไปประเคนให้แทบไม่ทัน ดูอย่างพวกที่ติดเชื้อเอดส์นั่นประไร เขาไม่ให้สิทธิ์ผลิตยา ก็แทบกระอักเลือด จะขึ้นบรรณาการเท่าใด ก็ต้องยอม ถ้ายังเป็นอย่างนี้ ไม่เรียกสิ้นชาติ หรือเป็นทาสตลอดกาลจะเรียกอย่างใด
วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554
มูลนิธิไทยกรุณา กับ ดารา
ในขณะที่หญิงเก่งคนหนึ่งในวงการบันเทิงต้องเจอมรสุมหนี้สิน ปรียานุช ปานประดับ ดาราสาวอดีตนางงาม ที่ผันตัวจากเบื้องหน้ามาทำงานละครเบื้องหลังเป็นผู้จัดละคร "น้ำดี" ที่มีรางวัลการันตีมาแล้วหลายเรื่องและนอกเหนือไปกว่านั้นเธอยังมีคู่ชีวิตที่ลงตัวจนดูเหมือนว่าชีวิตจะมีความสุขเหลือเฟือแต่ทว่าเธอคนนี้กลับต้องเผชิญความทุกข์ในอีกรูปแบบ จากโรคที่รุมเร้าจนต้องผ่านการผ่าตัดมากว่า 7 ครั้ง และเคยเดินไม่ได้มานานกว่า 1 ปี
"ตอนนั้นเราต้องนั่งรถเข็น เดินไม่ได้สืบเนื่องมาจากการที่กินยานอนหลับเป็นประจำ 20 กว่าปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533ทำให้เป็นโรคหลายโรค และมีอาการเข่าเสื่อมกระทันหันต้องได้รับการผ่าตัดเข่า แต่เราไม่ต้องการผ่าเพราะได้รู้จักกับคนที่ผ่านการผ่าตัดเข่ามาแล้ว เขาบอกว่าไม่ค่อยหายเราเลยหาวิธีอื่น" ปรียานุช เล่าถึงอาการป่วยของเธอ
เกือบ 4 ปีที่ผ่านมา ปรียานุช ปานประดับเลือกที่จะรักษาอาการเดินไม่ได้ของตัวเองด้วยวิธีการแพทย์ทางเลือกที่มูลนิธิไทยกรุณา จ.กาญจนบุรีสถานพยาบาลแห่งนี้จะรักษาผู้ป่วยด้วยการใช้สมุนไพรบำบัดซึ่งในช่วงแรกเธอต้องใช้ความอดทนอย่างสูงต่อสู้กับความทรมานจากการกินยา สมุนไพรเพื่อบำบัดรักษาโรคที่ตัวเองเป็น เพราะต้องการให้ตัวเองหายเป็นปกติด้วยคิดว่าจะได้ไม่เป็นภาระให้กับคนใกล้ตัว
"ตอนที่ป่วยหนัก รู้สึกเลยว่าความตายมันอยู่แค่เอื้อม แต่ไม่กลัวนะเป็นห่วงแม่กับสามีมาก เพราะกลัวว่าถ้าเราตายแล้วมันจะเร็วเกินไปสำหรับเค้า เราจึงฮึดสู้วันแรกที่ตัดสินใจมารักษาที่มูลนิธิไทยกรุณา เราไปถามเค้าเลยว่าเราจะหายไหมจะเดินได้ไหม เค้าบอกว่าเดินได้ เราโอเค ให้ทำอะไรก็จะทำ"
และแล้วความมุ่งมั่นอดทนของเธอก็เป็นผล ปรียานุช ปานประดับสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้งแต่ปัจจุบันเธอยังคงต้องเดินทางไปกลับมูลนิธิไทยกรุณาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อรักษาอาการป่วยของตัวเองต่อไป นั่นอาจเพราะเธอได้ค้นพบแล้วว่าความทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บทำให้รู้สึกถึงความสุขของการมีชีวิตอยู่...
"ตอนนั้นเราต้องนั่งรถเข็น เดินไม่ได้สืบเนื่องมาจากการที่กินยานอนหลับเป็นประจำ 20 กว่าปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533ทำให้เป็นโรคหลายโรค และมีอาการเข่าเสื่อมกระทันหันต้องได้รับการผ่าตัดเข่า แต่เราไม่ต้องการผ่าเพราะได้รู้จักกับคนที่ผ่านการผ่าตัดเข่ามาแล้ว เขาบอกว่าไม่ค่อยหายเราเลยหาวิธีอื่น" ปรียานุช เล่าถึงอาการป่วยของเธอ
เกือบ 4 ปีที่ผ่านมา ปรียานุช ปานประดับเลือกที่จะรักษาอาการเดินไม่ได้ของตัวเองด้วยวิธีการแพทย์ทางเลือกที่มูลนิธิไทยกรุณา จ.กาญจนบุรีสถานพยาบาลแห่งนี้จะรักษาผู้ป่วยด้วยการใช้สมุนไพรบำบัดซึ่งในช่วงแรกเธอต้องใช้ความอดทนอย่างสูงต่อสู้กับความทรมานจากการกินยา สมุนไพรเพื่อบำบัดรักษาโรคที่ตัวเองเป็น เพราะต้องการให้ตัวเองหายเป็นปกติด้วยคิดว่าจะได้ไม่เป็นภาระให้กับคนใกล้ตัว
"ตอนที่ป่วยหนัก รู้สึกเลยว่าความตายมันอยู่แค่เอื้อม แต่ไม่กลัวนะเป็นห่วงแม่กับสามีมาก เพราะกลัวว่าถ้าเราตายแล้วมันจะเร็วเกินไปสำหรับเค้า เราจึงฮึดสู้วันแรกที่ตัดสินใจมารักษาที่มูลนิธิไทยกรุณา เราไปถามเค้าเลยว่าเราจะหายไหมจะเดินได้ไหม เค้าบอกว่าเดินได้ เราโอเค ให้ทำอะไรก็จะทำ"
และแล้วความมุ่งมั่นอดทนของเธอก็เป็นผล ปรียานุช ปานประดับสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้งแต่ปัจจุบันเธอยังคงต้องเดินทางไปกลับมูลนิธิไทยกรุณาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อรักษาอาการป่วยของตัวเองต่อไป นั่นอาจเพราะเธอได้ค้นพบแล้วว่าความทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บทำให้รู้สึกถึงความสุขของการมีชีวิตอยู่...
วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554
ความไม่มีโรค สุขที่ทุกคนปรารถนา
โลกยุคปัจจุบัน ทุกสรรพสิ่งมีค่าและมีราคา ของยิ่งมีค่ามากเป็นที่ต้องการของคน ย่อมมีราคามาก ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ที่เขาสอนกันมา แต่แม่ชีเมี้ยนกลับบอกว่า สิ่งที่มีค่ามากที่ที่คนทุกคนต้องการ คือ ความสุข
เมื่อพิจารณาดูแล้ว สุขที่เป็นสุดยอดปรารถนา อันเป็นสุขสุดท้ายที่ทุกคนเลือก คือ ความไม่มีโรค เพราะทำให้กินเป็นสุข นอนเป็นสุข ดีกว่าความร่ำรวย อยู่บนกองเงิน กองทอง กองเกียรติยศ แต่กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ทุกคนจึงพยายามหาที่พึ่ง เพื่อจะได้สุขที่ไม่มีโรคนี้
การจะไปถึงสิ่งนี้ได้ กลับไม่ต้องใช้เงินเลย และไม่ต้องไปหาพึ่งผู้อื่นด้วย สิ่งที่ช่วยได้ ก็คือ การนำธรรมของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ และนำสมุนไพรตามแนวพุทธบัญญัติมาใช้ ทั้งสองสิ่งนี้ มีความเหมือนกันอย่างแยกไม่ออก คือ ต้องให้ฟรี
หลวงพ่อนิพนธ์จึงได้ เปรียบให้ฟังว่า เมื่อพระพุทธโคดมสำเร็จ เป็นพระพุทธเจ้า มีธรรมอันมีค่าที่สุด ทำให้คนไปนิพพานได้ ก็นำไปสอนสาวกโดยไม่มีการคิดราคาฉันใด สมุนไพรของพระพุทธศาสนา ก็ฉันนั้น ผู้ที่เรียน ต้องทำให้ผู้อื่นโดยไม่มีราคาฉันนั้น
ธรรมที่มีค่าสูงยิ่ง ที่ใช้ในการจะไปซึ่งนิพพาน
สมุนไพรที่มีค่าสูงยิ่ง ที่ใช้ในการทำให้ปราศจากโรค
ของสูงค่านี้กลับเป็นสิ่งที่ได้มาฟรี .... ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง
ความจริงที่หลวงพ่อนิพนธ์ ฟังจากแม่ชีเมี้ยน แล้วมาถ่ายทอดให้เราได้รู้ ก็พึงเห็นถึงความเมตตาอันมหาศาล ทำให้มีกลุ่มคน กลับมาเห็นคุณค่าและปฏิบัติตามหลักของพระพุทธศาสนาอีกครั้ง
วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554
สัญญาณของฟ้าดิน
เมื่อสัญณาญ เริ่มดังกระชั้นถี่ขึ้น แม่ชีเมี้ยนได้กล่าว บอกหลวงพ่อนิพนธ์ ให้พึงสังเกต สัญญาณของฟ้าดิน เพื่อนำมาบอกแก่คนรุ่นหลัง ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิด การเกิดความรุนแรง ยิ่งทวีขึ้นเพียงใด และถี่เพียงใด คือสัญญาณของการเกิดของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ที่จะมาสังคายนาศาสนาของพระโคดม การอุบัตินี้มาเพื่อดับทุกข์เข็ญของมนุษย์ นั่นหมายความว่า พวกเราชาวพุทธทั้งหลายกำลังจะได้ใช้ พุทธศักราชที่ ๑ อีกครั้ง พร้อมกับการอุบัติของพระพุทธเจ้าที่จะมาเชื่อมต่อ และทำให้ตาชั่งฝ่ายดีของโลกมีน้ำหนัก แล้ววิบัติต่างๆ ก็จะคลี่คลาย
คำพูดเหล่านี้ ท่านกล่าวไว้เมื่อเกือบห้าสิบปีก่อน คือในยุคถ้ำกระบอก หลวงพ่อนิพนธ์ จึงนำคำสอนที่แม่ชีเมี้ยนทิ้งไว้ให้ ให้คนได้มาปฏิบัติเพื่อรองรับ และสอดประสานกับศาสนาที่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่จะมาอุบัติ ช่วงสองปีนี้ ท่านเริ่มพูดบ่อยขึ้น และชักชวนให้คนหันมาหา และปฏิบัติตามธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทิ้งไว้ให้ ข้อเท็จจริงนี้ คงจะได้พิสูจน์ในอีกไม่นาน ว่าสิ่งที่แม่ชีเมี้ยนกล่าว ว่าจะมีพระพทธเจ้าองค์ใหม่มาอุบัติ ในประเทศพม่า สานต่อจากยุคของพระโคดมนั้น เป็นจริงหรือไม่ แต่ที่น่าคิดก็คือ ในระหว่างที่รอการอุบัตินี้ เราได้เดินตามรอยของพระพุทธศาสนาแล้วหรือยัง คงจะน่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะคนไทยได้พลาด จากการสูญเสียแม่ชีเมี้ยนไปครั้งหนึ่งแล้ว และหากต้องสูญเสียการได้สัมผัสพระพุทธเจ้า ในยุคที่จะถึง ยิ่งเสียชาติเข้าไปใหญ่ หรือท่านๆ ..ไม่สน
ยิ่งไปกว่านั้น พวกอ้างศาสนาหากิน เราอยากบอกว่า หยุดเถิด.....
และพวกไม่กลัวกรรม ก็พึงระวังเถิด กลับใจตอนนี้ยังไม่สาย ....
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)