วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

รับซื้อสมุนไพร


หลังจากได้ที่บริเวณพุน้ำร้อน เขตติดต่อกับพม่า โดยการหลีกทางจากเจ้าพ่อแถวนั้นที่ยอมให้ เมื่อทราบเจตนาของหลวงพ่อนิพนธ์ในการมาแย่งซื้อที่ อันเรียกได้ว่าทำเลทอง เพราะติดถนน และกำลังบูมอยู่แล้วนั้น

วันนี้ ทางมูลนิธิไทยกรุณา ก็ได้ทำการขึ้นป้าย รับซื้อสมุนไพร โดยเฉพาะจากทางฝั่งพม่านั้น หลวงพ่อนิพนธ์ก็ได้การันตีให้หัวหน้าหมู่บ้าน ส่งเสริมให้ปลูกสมุนไพรพื้นฐานที่ใช้ อาทิเช่น พริก ขิง ไพร กระเทียม เป็นต้น และการันตี รับซื้อทั้งหมด โดยอยู่บนพื้นฐานของ การปลอดสารเคมีใดๆ ทั้งสิ้น

ในอนาคต ชมรมคนรักสุขภาพ ก็จะมีแหล่งสมุนไพรที่ดีและราคายุติธรรม ปลอดสาร และที่สำคัญ มีจำนวนมากพอรองรับสมาชิกที่เพิ่มมากขึ้นได้

สำหรับสมาชิกท่านใด ที่อยู่บริเวณดังกล่าว ก็สามารถบอกกล่าวให้คนปลูก และนำมาจำหน่ายได้ที่ศูนย์ดังกล่าวเช่นกัน

แลหลวงพ่อนิพนธ์ก็ได้ย้ำเตือนว่า คนไข้ไม่ควรที่จะไปซื้อหามาเอง หากไม่มีความรู้ในสมุนไพรดังกล่าว เพราะเป็นการส่งเสริมให้แม่ค้าพ่อค้าเหล่านั้นทำบาป โดยการมาหลอกขาย อาทิเช่น ทางชมรมใช้มะกรูด ก็ไปหาซื้อต้นมะกรูดมาให้ แต่ซื้อมาแล้ว กลายเป็นต้นส้ม หรือซื้อผลมะกรูดมา ก็ปนมากับมะกรูดลูกเล็กที่ไม่มีเนื้อ ไม่มีน้ำ หรือมะกรูดที่สุกจนเหลืองแล้วเป็นต้น เมื่อนำมาก็ใช้ไม่ได้ ต้องทิ้ง เสียเปล่า

และที่สำคัญ ที่หลวงพ่อนิพนธ์เป็นห่วงมากคือ น้ำผึ้ง เพราะมีผู้ซื้อมาร่วมกันมากมาย แต่ส่วนใหญ่ ถ้าไม่ใช่ผึ้งเลี้ยง ก็ผสมแบะแซ หรือน้ำตาล กันเป็นส่วนใหญ่ ตามประสาพ่อค้า แม่ค้า ที่หลอกขาย เมื่อนำมาก็ใช้ไม่ได้ เพราะทำให้สมุนไพรเสีย

หากต้องการซื้อมาจริง ควรซื้อเป็นตัวอย่างมาให้ทางชมรม หรือหลวงพ่อนิพนธ์ดูก่อน ว่าใช้ได้หรือไม่ จะเป็นการดีที่สุด ...

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ร่วมด้วยช่วยกัน



จากจำนวนสมาชิกที่มาใช้บริการเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาที่สำคัญประการหนึ่งคือ ที่จอดรถ และ ความปลอดภัยของรถ เพราะต้องใช้เวลาทำกิจกรรมตลอดวัน

ถึงแม้ชมรมคนรักสุขภาพ ยังไม่ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากภาครัฐโดยตรง แต่ก็มีการสนับสนุนโดยอ้อมมาตลอด

เราขอเป็นตัวแทน (อุบอิบ) ขอบคุณหน่วยงานเหล่านี้ของภาครัฐ

เริ่มจาก การรถไฟ ที่เอื้อเฟื้อให้ใช้สถานที่ด้านหน้าชมรม เพื่อการจอดรถ และจัดรถไฟเพื่อบริการสมาชิกของชมรม (กำลังดำเนินการ และอยู่ระหว่างรอการทำสถานีชั่วคราวหน้าชมรม)

การประปา ที่ได้เอื้อเฟื้อ เดินท่อผ่านคลองชลประทาน เข้ามายังชมรม เพื่อให้สมาชิกได้มีน้ำประปาใช้เพียงพอ

กรมชลประทาน ที่ได้เอื้อเฟื้อให้ใช้สถานที่บริเวณข้างคลองชลประทาน ตลอดแนวพื้นที่ของชมรม เพื่อจัดทำที่จอดรถ ด้านหลังของชมรมคนรักสุขภาพ

กองพลทหารราบที่ ๙ ที่ได้ส่งกำลังพล และเครื่องมือ มาปรับสถานที่ให้

ทัพภาค ๒ ที่ได้เอื้อเฟื้อ จัดกำลังพล ที่มีความรู้ในแหล่งสมุนไพร และจัดเก็บมาให้คนไข้ ซึ่งนำโดย จ่าตี๋ ทำให้แล้งที่ผ่านมา คนป่วยได้มีสมุนไพรทานตลอด โดยไม่ขาดตกบกพร่อง แม้แต่สัปดาห์เดียว

และแอบขอบคุณ ชาวบ้านหนองกุ่ม บ่อพลอย และใกล้เคียง นำโดย คุณแตน ที่ได้ช่วยเก็บ จัดหา และจัดเตรียม สมุนไพรมาให้แก่ชมรม นับตั้งแต่ยุคสวนสมุนไพร จนมาถึงปัจจุบัน

ขอบคุณ อาสาสมัคร นับกว่าครึ่งพัน ที่ได้มาร่วมทำสมุนไพร เพื่อแจก ในแต่ละวันทำการ

ด้วยน้ำใจของพวกท่าน ร่วมกับหลวงพ่อนิพนธ์ และลูกศิษย์ ทำให้ วันนี้ เราท่านได้มีสถานที่ ที่เป็นทางเลือกที่ปลอดภัย ได้ตอบสนองปณิธานของแม่ชีเมี้ยน ที่จะทดแทนคุณแผ่นดินเกิด เป็นจริงขึ้นมาได้ เป็นที่พึ่งของคนทุกข์มหาศาลที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาสถานที่นี้ในอนาคต

เราขอเป็นตัวแทนคนป่วย (อุบอิบ) ขอบคุณจากใจจริงในน้ำใจที่หลั่งมาอีกครั้ง ... ขอบคุณ ขอบคุณ ....

ท้ายสุด ขอขอบคุณ คณะกรรมการ ที่ได้สนับสนุนกิจกรรมนี้มาโดยตลอด (ควักโดยไม่เกี่ยง ...)

สิ่งนี้เรียกว่า ปฏิมากรรมของศาสนา .... ซึ่งต้องมีรากฐานจาก คุณธรรม และความมีเมตตา นั้นเอง ... นี่แหละสุดยอดปฏิมากรรมของมนุษย์

พูดอะไรว่ะ

คนป่วยหลายท่านที่มายังชมรมคนรักสุขภาพ วาดฝัน ตั้งความหวังว่า จะได้ยินเรื่องสมุนไพร เป็นอย่างไร ทำอย่างไร จะรักษาตนเองได้อย่างไร

หากแต่เมื่อได้ฟังหลวงพ่อนิพนธ์พูด ก็คิดว่า พูดอะไรว่ะ ไม่เห็นเกี่ยวกับสมุนไพรเลย แล้วก็พาลเบื่อ

ด้วยความไม่เข้าใจว่า แนวทางของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมานั้น มีองค์ประกอบสองส่วน นั่นคือ สมุนไพร และ พฤติกรรม

สมุนไพร มิใช่ปัญหาหนัก ที่จะทำความเข้าใจ แต่สิ่งที่ยากกว่า คือ พฤติกรรม เพราะทำอย่างไรให้เขามาเดินรอยตามต้นตำรับ เจ้าของตำรา นั่นคือ เดินตามรอยพระพุทธเจ้า

การพูดส่วนใหญ่ จึงเน้นเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น ที่เดิมไม่เคยมีอยู่เลย และถอนความคิดเดิมออก มาเป็นความเชื่อที่เหลือหนึ่งเดียว เพื่อใช้ในการช่วยตนเอง

ความคิดใหม่ นั่นคือ เชื่อในรอยที่พระพุทธเจ้าทิ้งไว้ให้ แล้วทำตาม

ในขณะที่ผู้อื่น ประกาศตนว่า มียาทำให้หายโรค ที่นี่ประกาศ "อยากหาย ต้องรักษาตนเอง" ในขณะที่ผู้อื่น ประกาศตนว่า มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ที่นี่ประกาศ "ภูมิปัญญาพระภูมี ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย" ในขณะที่ผู้อื่น โฆษณาชวนเชื่อ ใช้การตลาดนำหน้า โดยหาผลงานเป็นชิ้นเป็นอันให้โลกยอมรับไม่ได้เลย แต่ที่นี่ "แม้แต่อเมริกยังต้องยอมรับ และให้ทุนมาแล้ว"

ดังนั้น การพูดโดยส่วนใหญ่ จึงเน้นไปเพื่อสร้างความมั่นใจ และก่อให้เกิดพฤติกรรมที่สอดคล้อง ตามเจ้าของตำรา นั่นคือ "คนดี" ซึ่งเป็นเครื่องตัดสินว่า..... หายหรือไม่

สถานที่นี้ หลวงพ่อนิพนธ์ จึงปะรกาศเสมอว่า "โรคอะไร ก็ไม่น่ากลัว กลัวแต่นิสัยของคนป่วย ที่ไม่ยอมเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับคำสอนของพระภูมีนั่นเอง"

คนพูดก็พูดไป คนฟังก็ทำเฉย จะเอาแต่หายลูกเดียว ... นี่แหละฝันที่ไม่เคยเป็นจริง และเป็นคำตอบว่า ทำไมแม้สมุนไพรดี คำสอนดี แต่คนหายมันน้อย ...

ภูมิปัญญาของใคร


โลกปัจจุบัน กำลังสอนให้คนรุ่นใหม่เป็นนักคิด นักประดิษฐ์ ใครที่คิดได้ ทำได้ แล้วคนชอบ นั่นคือมหาเศรษฐีคนต่อไป

แต่ธุรกิจใดเล่าจะดีไปกว่า ธุรกิจชีวิต ด้วยทุกคนบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่รักตัว กลัวตาย กันทั้งหมดทั้งสิ้น

แต่ละวัน เราท่านจึงเห็น ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และยาเวชภัณฑ์ ทั้งแบบสมัยใหม่ หรือสมุนไพร ออกมาวางขายกันเกลื่อน

หากสิ่งที่น่าคิด ที่แม่ชีเมี้ยนได้ถ่ายทอดมาจากพระภูมี ให้ไตร่ตรอง นั่นคือ คำสอนที่ว่า สรรพสิ่งในโลกย่อมเป็นไปตามกรรม

ในเมื่อสรรพสิ่ง กรรมเป็นผู้สร้าง ผู้ดลบันดาล ก็แล้วความคิดมนุษย์ จะไปเหนือลิขิตกรรม ที่บันดาลให้มนุษย์ต้องรับโทษ จากกรรมที่เป็นมาด้วยการเป็นโรคได้อย่างไร

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า สมุนไพรที่นำมา ท่านย้ำนักย้ำหนาว่า ไม่ใช่ของท่าน ท่านไม่ใช่เป็นผู้คิด

เมื่อย้อนไปหาแม่ชีเมี้ยน ท่านก็ตรัสว่า ไม่ใช่ ไม่ใช่ สมุนไพรไม่ใช่ท่านเป็นผู้คิด แต่ท่านรู้ ท่านเห็น ท่านจึงนำมาให้ผู้มีคุณธรรม ได้นำมาใช้

ก็แล้วสมุนไพรที่ใช้ เป็นของใคร แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า เป็นของพระพุทธเจ้า

ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่ว่า ในเมื่อต้นมาจากพระพุทธเจ้า ที่ทำรอยทุกอย่างด้วยการทำให้ แม่ชีเมี้ยนจึงกล่าวว่า ผู้ที่จะนำไปใช้ ก็จึงต้องเดินรอยเดียวกัน คือ "ทำให้"

ก็ไม่น่าแปลก ที่ทำไมจึงไม่ค่อยมีคนอยากเรียน อยากทำ

ใครเขาว่า ตัวเขาเจ๋ง วิทยาการเขาเลิศ คิดยาได้ ทำยาได้ รักษาโรคได้ ก็ว่ากันไป

แต่สถานที่นี้ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า วันเวลาจะพิสูจน์ ว่าการจะรักษาตน ต้องพึ่งภูมิปัญญาของพระพุทธเจ้า เท่านั้น

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า เมื่อฟังเหตุและผล ก็เลือกเอา ชอบก็ทำตาม ไม่ชอบก็ไปแสวงหาในแนวที่ชอบ ไม่ว่ากัน

เสียน้อยเสียยาก


คำเติอนที่หลวงพ่อนิพนธ์มักสอนเสมอ การให้พิจารณาว่า "อะไรที่สำคัญที่สุดในชีวิต"

เมื่อพิจารณาเหตุและผล ก็น่าจะเป็นไปดั่งคำตรัสของพระภูมี ที่ว่า "ไม่มีสิ่งไร มีค่าเกินไปกว่าชีวิตมนุษย์ นั่นเอง"

คำสอนที่มักพร่ำสอน ย้ำเตือนเสมอ ว่าให้คนป่วยพึงรักษาตน ให้จบราว วางเรื่องอื่นไว้ก่อน เพราะถ้าไม่มีชีวิตก็ทำอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าป่วย ก็แสวงหาสุขจากสิ่งอื่นไม่ได้

แต่สิ่งที่พบเห็น หลายคน มาให้ครบ ๕ ครั้ง เพื่อรักษาสิทธิ์ แล้วก็มาตามใจฉัน อยากมาก็มา เบื่อก็หยุด

พฤติกรรมเยี่ยงนี้ ย่อมไม่สามารถกอบกู้ สิ่งที่บอกว่ามีค่าที่สุด นั่นคือ ชีวิต ได้โดยเด็ดขาด สิ่งที่มีค่าที่สุด ย่อมต้องทุ่มเทสุดกำลัง ในการรักษา หรือกอบกู้

จึงไม่น่าแปลก ที่คนมากมาย ที่ต้องคำสาบ มีบุญแต่กรรมบัง เพราะแม้นมาถึงสถานที่ของแม่ชีเมี้ยนแล้ว กรรมก็ยังดลบันดาลจิตใจ ให้เห็นสิ่งอื่นสำคัญกว่าชีวิต ทั้งที่ปากพร่ำว่า รักชีวิต

หลายคนกำลังทำทวนกระแสคำสอน หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า โรคมันกลัวความสงบ แต่หลายท่านก็สนุกกับการคุย ท่านสอนว่า บทสวดมีความสำคัญ ต้องตั้งใจ ก็ไม่สามารถรวบรวมสมาธิ จดจ่อ

และที่สำคัญ แนวทางแม่ชีเมี้ยน ต้องการวันเวลา ความสม่ำเสมอ และต้องทำให้สุดราวในคราวเดียว

เราได้ฟังคนไข้ท่านหนึ่ง บ่นเสียดายให้เจ้าหน้าที่ฟังว่า ตัวเขาเองเป็นภูมิแพ้ ค่อนข้างรุนแรง มาได้กว่าครึ่งปีแล้ว อาการหวัด และภูมิแพ้ก็หายไป

พออาการหายไปได้สักเดือนสองเดือน เขาก็คิดว่า ตัวเขาดีแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว เขาจึงหยุดไปทำในสิ่งที่ชอบ ที่คิดว่าดี นั่นคือ การไปจาริกแสวงบุญที่อินเดีย

เขาจึงต้องหยุดทานสมุนไพร เพื่อการดังกล่าว รวมเวลาก็ประมาณหนึ่งเดือน หลังจากกลับจากอินเดีย อาการเก่าก็เริ่มหวน

สิ่งที่น่าตระหนกใจสำหรับเขาคือ ในอดีต เมื่อทานสมุนไพรในช่วงแรกๆ อาการของเขาจะเรียกได้ว่า ทุเลาหรือหยุดโดยเร็ว แต่ตอนนี้ ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว กว่าที่ร่างกายจะทุเลาต้องใช้เวลานาน ในแต่ละครั้ง และที่ซ้ำร้าย เขากล่าวว่า ช่วงแรกที่มาทาน อาการก็หายไปในประมาณอาทิตย์กว่าสองอาทิตย์ นี้ทานมาเดือนกว่า อาการก็ยังมีปรากฎ ซ้ำร้าย ร่างกายอ่อนเพลีย ฟื้นตัวช้ากว่าเดิมมาก


ลักษณะเช่นนี้ เป็นสิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์กังวล และไม่อยากให้เกิดขึ้น นั่นคือ เมือเราทานสมุนไพร ไม่รอให้เบ็ดเสร็จ แน่นอน แล้วจึงหยุด กลับเลิกหรือหยุดกลางคัน ทำให้เชื้อมีเวลาฟื้นตัว และมีภูมิต้านทานสมุนไพรได้มากขึ้น การทำงานของสมุนไพรก็ลำบากขึ้น ใช้เวลานานมากขึ้นกว่าเดิม ที่สำคัญ ความพยายามที่ทำมาในตอนแรก ก็แทบจะเรียกได้ว่าสูญเปล่า และเพิ่มงานให้แก่ตัว

การให้ความสำคัญสิ่งอื่น และทุ่มเทไป โดยทิ้งสิ่งที่สำคัญกว่า นั่นคือ ชีวิต นั่นคือความหายนะที่ใหญ่หลวง มันแค่ดูเหมือนว่าได้ เช่นได้เงินจากการไปทำธุรกิจ ได้เที่ยว ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ และไม่ต้องมาทนเบื่อกับสถานที่นี้ แต่นั่นเป็นสุขชั่วครู่ชั่วยาม ท้ายที่สุด สิ่งที่เราท่านจะต้องสูญเสีย คือ อิสรภาพ ความสุข ในชีวิตที่เหลือ เพราะโรคเล่นเราท่านซะงอมเสียแล้ว หรืออาจจะเสียสิ่งที่พร่ำพูดว่ารัก คือ ชีวิต

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกล่าวว่า ถ้าไม่พร้อม ไม่มีเวลา อย่ามา

ลองไตร่ตรอง ว่า เราควรเลือกที่จะเสียอะไร และได้อะไร...

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สุดยอดหมอ


คุณสมบัติของสุดยอดหมด ที่แสนจะเลิศเลอ perfect ท่านเคยเห็นไหม

ช่วยกันหาหน่อย มองทั้งไกล มองทั้งใกล้ มองซ้าย มองขวา

ดูที่ปริญญาบัตรดี ฟังจากคนเล่าดี หรือดูจากทีวีดี โฆษณา หรือจากเวป จาก สารคดี

ลองตอบคำถามเหล่านี้หน่อย ว่าหมอที่ท่านหาอยู่มีคุณสมบัติดังกล่าวไหม


หนึ่ง สามารถวินิจฉัยได้รวดเร็ว แม่นยำ ถูกต้อง ไม่ใช่คิดว่า คาดว่า น่าจะ

สอง สามารถปรุงยาที่ใช้แก้ไขอาการที่เป็นอยู่ อย่างถูกต้อง ทันกาล ที่สำคัญ ไม่มีผลข้างเคียงใดๆแม้แต่สักน้อย

สาม สามารถเฝ้าตรวจ เฝ้าระวัง อาการที่เป็นได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่มีพลาด


มองหาเจอไหม ถ้าไม่เจอ พระภูมีบอกว่า หมอที่ว่านั้นก็คือ ตัวเรานั่นเอง

ใครจะรู้จักตัวของเราได้ดีกว่าตัวเรา

เครื่องตรวจใด จะละเอียดซอกซอนไปทั่วทุกอณูของร่างกาย เท่ากับระบบของร่างกายเราไม่มี

เภสัชกรใด จะเทียมเท่าอวัยวะของเรา คลังยาใดจะสะอาด ปลอดภัยกว่าสารที่สกัดจากท้องของเราท่าน

หากมองหาหมอดี มองด้วยตา จะไม่มีวันเจอ หากใช้เหตุและผล เราจะเห็นตนของเรานั่นแล

พระภูมีตรัสรู้ ธรรมชาติของมนุษย์ข้อนี้ จึงบัญญัติธรรมหมวด "ตนพึ่งตน" เพื่อให้ใช้ช่วยตน หากสิ่งที่เกิด อยู่ในตัวตน หรือที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเสมอ คือ นับตั้งแต่ใต้ผิวหนังเป็นต้นไป

หากมองหาหมอพึ่ง คำตอบที่ได้ เศรษฐีเป็น เศรษฐีก็ตาย หมอเป็น หมอก็ตาย หากมองหาหมอในกายตน ทุกคนมีสิทธิ์หายได้เท่ากันหมด ไม่มีวรรณะ ใครทำตามบัญญัติพระภูมีได้ ย่อมได้ลาภดั่งคำตรัส "ความไม่มีโรค"

ไปเถอะ ถ้าคิดว่าที่ไหนมีหมอดี ยาดี หลักสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ก็ไม่มีประโยชน์สำหรับท่าน ยิ่งพวกรักพี่เสียดายน้อง สมุนไพรก็ทาน ยาหมอก็ไม่ทิ้ง กินมันทั้งสองอย่าง

เคยได้ยินไหม "ถ้าไม่มาทั้งตัวและหัวใจ ก็กลับไปเสียดีกว่า"

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เรื่องของคนบ้า กับมูลนิธิไทยกรุณา

หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เมื่อคนทั่วไปพิจารณาสิ่งที่เราทำ คำตอบที่ได้รับ คือ "พวกนี้มันบ้า"

คนอื่นเขาทำขาย "ที่นี่ทำแจก"

คนอื่นเขาทำเพื่อตน หาสุุขใส่ตน "ที่นี่บอก อยากสุข ต้องให้สุขผู้อื่นก่อน"

คนอื่นเขาเชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ เชื่อมั่นในหมอ ที่มีเทคโนโลยีเลิศล้ำ ยุคอวกาศ "ที่นี่เชื่อธรรมชาติ เชื่อในท้องของตนเอง"

คนอื่นเขาเชื่อมันว่าความปลอดภัย ความสะอาด ได้มาจากการทำตามหลักวิชาการที่ก้าวหน้า "ที่นี่เชื่อว่า มาจากความดี"

คนอื่นเขาแนะนำว่า ที่โน่นดี ที่นั่นดี หมอนั้นดี เกจินั้นดัง ช่วยได้ ขอได้ "ที่นี่บอกว่า ต้องพึ่งตนของตน"

และอีกมากมาย .... จนเชื่อได้ว่า สงสัย พวกนี้มันบ้าจริง...

หากแต่สิ่งที่ทำ ที่แม่ชีเมี้ยนนำมาสอน ท่านว่า "เรากำลังเดินตามพระภูมี"

คนทั้งเมื่อง กล่าวว่า พระโคดมบ้า ทิ้งบ้านทิ้งเมือง ทิ้งครอบครัว และพ่อ มาเดินขอเขากิน

คนทั้งเมือง กล่าวว่า พระโคดม จะหาสุข แต่มาทำตนลำบาก จะมีสุขได้อย่างไร ต้องบ้าแน่ๆ

แต่ทุกสิ่ง ต้องวัดกันที่ผลของการกระทำ

การกระทำของพระโคดมที่ว่าบ้า ทำให้ท่านกลายเป็นพระพุทธเจ้า ที่ยิ่งใหญ่

การกระทำ ทำตนลำบาก ทำให้ท่านได้สุขนิรันดร์ ไม่ต้องมาเกิดอีก

เฉกเช่นเดียวกัน การกระทำที่แม่ชีเมี้ยนนำมาสอน เมื่อดูผล ก็จะเห็นคนที่ประสพผลดังหวัง เดินกันเกลื่อน

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า "ใครจะเดินแนวทางนี้ ต้องทนคำเหล่านี้ได้"

เสียงที่ล่องลอยมาเสียดสี แว่วมาเสมอ

"บ้าแล้ว ไปกินใบไม้อะไรก็ไม่รู้"

"บ้าแล้ว เป็นขนาดนี้ ยังให้ไปทำงานช่วยคนอื่นอีก เขามีแต่พักผ่อนเยอะๆ"

"บ้าแล้ว มันทิ้งยาหมอหมด คงไม่รอดแน่ๆ"

ใครที่มาบ้ากับสิ่งนี้ ก็ต้องทำใจไว้ แล้ววัดกันตอนจบ ... แนวทางไหนที่ทำให้รอด

คาถาที่ท่องไว้ ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักพูดให้ฟังเสมอ คือ "หัวเราะที่หลังดังกว่า" วันที่เรารอดด้วยความบ้า ตามแม่ชีเมี้ยนสอน ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมา ....

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หมองูตายเพราะงู



เมื่อเราท่านป่วย ก็ต้องดิ้นรนหาทางรักษา หมอไหนที่ว่า สิ่งไหนที่ว่าช่วยได้ แม้จะลำบากสักแค่ไหน ใช้เงินสักเท่าไร ก็ต้องทำ

โลกนี้ จึงมีหมอดีมากมาย มีเจ้าพ่อ เจ้าแม่ มากมาย มีเกจิดีๆมากมาย ที่คอยรับใช้ให้บริการคนทุกข์เหล่านี้

จุดอ่อนประการเดียวที่เราท่านมี คือ มาแล้วขอให้หายได้

วันเวลาผ่านไป ศพแล้วศพเล่า ไม่เคยมีใครประสพผลจากการขอนั้นเลย หมอดีคนเก่าก็หายไป มีหมอดีคนใหม่เข้ามาแทน เจ้าพ่อ เจ้าแม่ เก่า ก็หายไป หน้าใหม่ก็เกิดขึ้นแทนเพิ่มมากขึ้น เกจิคนเก่า ก็ถูกโรคงาบไปกิน เกิดเกจิใหม่มาแทนอีกเช่นกัน

แม่ชีเมี้ยนนำหลักของพระภูมีมาให้ ชี้ให้เห็นความจริง ย้ำเตือนในคำสอนของพระภูมี "สรรพสิ่ง มีเหตุมาแต่กรรม" นั่นจึงเป็นเหตุชี้ให้เห็นว่า เมื่อคนเหล่านั้นทำตนเหนือกรรม โอ้อวดว่าล้างกรรมล้างโรค ให้ผู้อื่นได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ บทสรุป คนเหล่านั้น ก็ต้องเป็นโรคตาย พ่ายแพ้กรรมของตน

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ที่นี่ไม่มีหมอ ไม่มีผู้รักษา แต่มีสมุนไพร และธรรมคำสอนของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนถ่ายทอดมาให้ นำไปรักษาตน คนที่จะหายหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับบุคคลผู้นั้น เชื่อ ศรัทธา เอาเหตุและผล รับสมุนไพรไปทาน รับธรรมไปปฏิบัติ ทำตนเป็นหมอรักษาตน เพราะมีแต่ตัวของตนเองเท่านั้น ที่จะสามารถช่วยตนให้พ้นโรคได้

สถานที่นี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงอุปมา เปรียบเหมือนเรือ ที่จะพาข้ามฝั่งไปไม่ได้ ถ้าคนนั่งไม่พาย ไปไม่ถึง ถ้าคนไข้ไร้ซึ่งศรัทธา ความเชื่อสั่นคลอน เรือก็ล่ม ยากที่จะฝ่าคลื่นลมแรง นั่งได้คนเดียว อยากไปถึง ก็ต้องพึ่งลำแข้งตน ออกแรง ใช้มานะ อดทน ที่สำคัญ หากไม่หยุดพาย พายช้า พายเร็ว ก็ต้องถึงฝั่งอย่างแน่นอน

ทางเลือกสายน้อยๆ นี้ ใช้ลำแข้งตน ทนลำบาก เพื่อนหายาก หากสู้ทน จนสุดทาง มารผจญ พบสุขล้น พ้นโรคา

ใครที่ไหน จะว่าช่วยได้ ก็ว่าไป แต่ที่นี่ อยากหาย "ต้องช่วยตน"

พหูสูตรนี้ ใช้มาแต่ก่อนเก่า แลยังใช้ได้อยู่ อันเป็นบทพิสูจน์ว่า "ธรรมของพระภูมี ไม่ขึ้นกับกาลเวลา ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย"

ประตูเป็น ประตูตาย


คนมักจะถามหลวงพ่อนิพนธ์ว่า คนไข้อาการหนัก ท่านจะรับไหม

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า หนักไม่หนัก ไม่ได้อยู่ที่คำวินิจฉัยของหมอ หรืออาการที่ปรากฎ

สิ่งที่กำหนด อุปมาประตูเป็น ประตูตาย นั่นคือ เครื่องมือที่ใช้ในการรักษาตนเองนั้น ยังคงทำงานอยู่หรือไม่ต่างหาก

นั่นคือ ท้อง หรือ ระบบการย่อย ของทุกคนที่ธรรมชาติให้มานั่นเอง หากแม้นคนดังกล่าว เล็บยังยาว ผมยังต้องตัด นั่นหมายความว่า ระบบมันยังทำงานอยู่ ประตูรอดก็ยังเปิดอยู่เช่นกัน

ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือ การทดสอบการตอบรับสมุนไพรของระบบร่างกายนั่นเอง ท่านจึงมักบอกว่า "ลองเอายาเขียวไปทานดู"

หากระบบของคนไข้ตอบรับ ทำให้เกิดอยากกิน หรือมีสภาพดีขึ้น หลวงพ่อนิพนธ์ เรียกว่า "ประตูเปิด นาทีทองมาแล้ว"

หากระบบของคนไข้ไม่ตอบรับ ก็หมายความว่า ประตูปิดเสียแล้ว สมุนไพรไม่มีประโยชน์ต่อบุคคลนั้น

และการที่คนไข้เก่า จะนำสมุนไพรเขียว ไปลองให้ผู้ที่หมอว่าอาการหนัก ทานนั้น หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า "ก็ทำได้" ไม่ผิดแต่อย่างใด เป็นการดีเสียอีก ดีกว่าพาคนไข้มารอเป็นวัน กลับถึงบ้านแล้ว ปรากฎว่าคนไข้ทานสมุนไพรไม่ได้ เสียเงิน เสียเวลาเปล่า

คนที่ยังเดินเหิรปกติ แต่มาโดยผิดวิธี ถึงแม้นจะได้สมุนไพรไปทาน หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า ประตูของเขาปิดแล้วเช่นกัน การทานสมุนไพรของบุคคลเหล่านั้น ไม่มีผลใดๆ เลยเช่นกัน

ปัจจัยในการเปิดปิดประตู คือพฤติกรรมของผู้ทาน ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ จึงย้ำเสมอว่า "สมุนไพร เป็นเครื่องลางธรรมชาติ รู้ใจผู้ทำ และผู้ทาน" ..... ทำอย่างไร จึง ได้อย่างนั้น

คนเหล่านั้น จัดเป็นคนกลุ่มเดียวกัน ประเภทเดียวกัน คือ ทำตนเป็นที่พึ่งของผู้อื่น ทำตนว่ามีของดี ยาดี ช่วยคนอื่นได้ ท้ายที่สุด บทจบ คนเหล่านั้น ก็ล้วนแต่เป็นโรคด้วยกันทั้งสิ้น แล้วจบชีวิตลง อันเป็นที่มาของสำนวน หมองู ตายเพราะงู นั่นเอง

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ตัดสินใจ - ทานสมุนไพรอย่างเดียว เสียเวลาเปล่าๆ


ในขณะที่ยอดคนไข้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และการหวังผล ก็ต้องการปริมาณของสมุนไพร รวมทั้งพฤติกรรมที่สอดคล้อง เพื่อต่อสู้กับความแรงของโรคและของกรรม

ด้านสมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ดิ้นรนแสวงหาแหล่งสมุนไพรที่ดี และมีราคาถูก มาตลอด จนได้แหล่งน้ำผึ้งดี จากแม่สอด ได้แหล่งสมุนไพรบางตัวจากชาวเขาในจังหวัดเชียงราย และล่าสุด ได้แหล่งปลูกสมุนไพร เพื่อส่งให้แก่ชมรม ในแผ่นดินพม่า ที่ติดกับไทย ในบริเวณพุน้ำร้อน ของจังหวัดกาญจนบุรี

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวย้ำว่า ผู้ที่จะประสพความสำเร็จ ในทางเลือกสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน โดยการทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียวเป็นไปได้ยากยิ่ง ต้องมีการปรับพฤติกรรมให้สอดคล้อง กับคำสอนของพระภูมีด้วย

ดังนั้น ทุกคนที่มาแล้ว สิ่งต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังมาก่อนหน้า ให้วางเสีย แล้วฟังเหตุและผลที่ท่านได้อรรถาธิบาย แล้วตัดสินใจ หากสิ่งที่ท่านกล่าว ไม่ถูกใจ หากสิ่งที่ท่านให้ทำ ไม่อยากทำตาม และที่สำคัญไม่ชอบ มุ่งมาเพื่อสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ท่านจึงกล่าวว่า อย่ามาเสียเวลา เสียค่าน้ำมันเลย เพราะเป็นไปไม่ได้

สถานที่นี้ มีคำสอนแม่ชีเมี้ยน พูดจริงทุกอย่าง ไม่กลอกกลิ้ง จึงควรตัดสินใจว่า เมื่อฟังแล้ว ไม่ทำตาม ก็เลิกเสียไปในทางที่ชอบ หากชอบ ก็ทำตนให้สอดคล้อง เพราะผู้ประสพผล คือ "ผู้ที่ทำได้" และการหายโรคก็ยังไม่เพียงพอ เพราะต้นเหตุคือนิสัยกรรม ยังมีอยู่ ท้ายที่สุดก็ไม่พ้นซึ่งความตายอยู่ดี การช่วยก็ไม่นับว่าประสพผล

เรามีตัวอย่าง คุณปรียานุช ปานประดับ คุณธานินทร์ อินทรเทพ และอีกมากมาย ที่เป็นประจักษ์ให้เห็นว่า เส้นทางนี้ ผู้ทำได้ ย่อมประสพผล

ในเมื่อ ไม่ชอบ ไม่เห็นด้วยกับคำสอน ไม่อยากทำ ก็หยุดไป ไม่ว่ากัน พร้อมกับขอขอบคุณ ที่ได้สละสมุนไพร ให้ผู้ชอบ อยากทำตาม ได้มีโอกาสเต็มที่ ....

ตัดสินใจเสียเถอะ สถานที่นี้ จะได้เหลือเฉพาะ คนอยากได้ อยากทำ และเมื่อทำตนได้ ก็จะได้เป็นทางเลือกให้คนรุ่นหลังอีกต่อไป

ชิวไหวชิงพริบ (ต่อ)


เราจึงอยากยกตัวอย่างคนไข้ ๒ ท่าน มาให้พิจารณา

คนไข้ท่านแรก เป็นคนไข้ที่มีอาการขั้นสุดท้าย มาในขณะที่ช่วยตัวเองไม่ได้ และต้องให้ออกซิเจนช่วยในการหายใจ ทั้งคนไข้ และครอบครัว เมื่อได้มาสัมผัส ก็มุ่งมั่นในแนวทางสมุนไพร ทำตามคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ทุกประการ

คนไข้สู้ สามารถทานสมุนไพรได้ทุกขนาน จนอาการทรุดเริ่มหยุด และค่อยๆ มีอาการดีขึ้น ทานอาหารได้มากขึ้น แต่ยังต้องใช้ออกซิเจนช่วยในการหายใจอยู่

หากแต่ในที่สุด คนไข้ท่านนี้ก็ต้องเสียชีวิตลง ไม่ใช่ด้วยเหตุแห่งโรคใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะว่า ภรรยาที่เฝ้าไข้ ออกไปซื้อของที่ตลาด อาจด้วยกรรมบันดาล ทำให้ลืมเช็คถังออกซิเจน คนไข้จึงเสียด้วยการขาดอากาศหายใจ

คนไข้ท่านที่สอง เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จากผู้ชายที่แข็งแรง ผอมจนเหลือน้ำหนัก ๓๐ กว่าโล และยอดบิลที่โรงพยาบาลชื่อดังส่งมาให้ครอบครัวเขาในตอนนั้น เก้าแสนกว่าบาท

ด้วยเหตุที่มีประกัน หมอจึงแนะนำว่า อย่างไรเสียคนไข้ก็คงไม่รอดอย่างแน่นอน ดังนั้นหมอจะเซ็นต์ว่า คนไข้ทุพลภาพถาวร เพื่อที่จะให้ครอบครัวเขาสามารถรับเงินประกันได้ และนำมาจ่ายให้แก่โรงพยาบาล

เมื่อชำระเงินเสร็จ พ่อของคนไข้พาคนไข้มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ พักอยู่กับท่านเลย คนไข้ทานสมุนไพร และทำตามหลวงพ่อนิพนธ์สอน จนสามารถฟื้นกลับขึ้นมาจนเป็นปกติ

โรคมะเร็งของเขาที่หมอทิ้ง ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอีกต่อไป แต่ปัญหาที่หนักกว่าโรคมะเร็ง ก็คือ กรรมที่เขาทำมานั่นเอง

เด็กหนุ่มผู้ซึ่งจบช่างกลมา แล้วอยากเป็นวิศวะ ไปสอบเข้าวิศวะบางมด แต่ต้องถูกอาจารย์กล่าวหาว่าลอกข้อสอบ ทั้งที่ทำเสร็จก่อนใครและส่งก่อนใคร และเมื่อให้ทำข้อสอบใหม่ เขาก็สามารถผ่านข้อสอบได้อย่างสบาย แต่ด้วยทิฐิจึงไม่ยอมเรียน แล้วหันไปทำงานกับน้าแทน

ประเทศไม่ได้วิศวกร แต่ได้หัวหน้าซุ้มมือปืนแห่งเพชรบุรี ผู้ทื่ชาญฉลาดแทน เพราะความฉลาดของเขา เมื่อได้ทำงานกับน้าที่ซุ้มมือปืนเพชรบุรี จึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและได้คุมซุ้ม ทำหน้าที่จัดมือปืน ในขณะที่อายุยังไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ

จนในที่สุด เบื่อชีวิตในซุ้ม ออกมาแต่งงาน ทำอาชีพสุจริต และกรรมที่ทำมาก็เริ่มเยี่ยมกรายมาหาเขา ด้วยฉายาแรกคือ มะเร็ง

เมื่อเขาหันมาเชื่อหลวงพ่อนิพนธ์ จากหัวหน้าซุ้ม ก็กลายมาเป็นหัวหน้าช่าง ทำหน้าที่ดูแล จัดสร้างอาคารสถานที่ให้หลวงพ่อนิพนธ์ แม้กระทั่งอาคารที่เป็นที่อบตัวในปัจจุบัน ก็ด้วยมือเขาเช่นกัน

ชีวิตผ่านโรคมะเร็งระยะสุดท้ายมาได้ โรคทำอะไรเขาไม่ได้ หากแต่กรรมก็ยังตามทวงชีวิตเขาตลอดมา ชายผู้นี้ รอดตายจากถังระเบิต ขณะเชื่อมทุ่น หมดสติ ตกจากหลังคาที่เป็นห้องอบสมุนไพร ขณะขึ้นไปเชื่อม น็อคไปเกือบอาทิตย์ ก็ฟื้นคืนกลับมา โดนใบเลื่อยตัดเอ็นมือ จนทำให้เอ็นนิ้วขาด และอื่นๆ อีกมากมาย

กรรมก็พยายามหาช่องทาง แต่เขาก็รอดมา อยู่กับหลวงพ่อนิพนธ์มาสิบกว่าปี จนท้ายสุด เขามีหน้าที่ดูแลสวนสมุนไพร และสรรพสัตว์ หลายร้อยชีวิต รวมทั้งต้นยาในสวนสมุนไพร

ด้วยความเชื่อมั่นเกินไป ทำให้เกิดความประมาท คิดว่าไม่มีอะไร วันหนึ่ง กรรมของเขาก็ประสพช่อง ในวันที่คนอื่น ต้องมาที่ศาลา เพื่อช่วยกิจกรรม จึงเหลือเขาเพียงลำพังที่สวนสมุนไพร ในวันนั้นเอง คอกหมูป่า ที่หลวงพ่อนิพนธ์เลี้ยงไว้ เกิดพังขึ้น ทำให้หมูป่าหัวหน้าฝูงหลุดออกมาจากกรง ในจังหวะที่เขาไม่ทันระวังตัว ระวังภัย หมูป่าตัวนั้นได้วิ่งเข้ามาขวิตหน้าขาของเขา โดนเส้นเลือดใหญ่ ทำให้เลือดออกไม่หยุด เขาได้ปีนขึ้นที่สูง และโทรเรียกคนให้มาช่วย

คนไข้ที่บ่อพลอยได้ขับรถเข้าไปช่วย แต่ปรากฎว่า หมูป่าวิ่งไล่ไม่ยอมให้ลงจากรถ จนต้องกลับไปตามคนมาช่วยไล่ และสามารถรับตัวเขาไปส่งโรงพยาบาลประจำอำเภอ

ด้วยความสมบูรณ์เหมาะเจาะ โรงพยาบาลไม่มีเลือด แม้ห้ามเลือดได้ ก็ไม่มีเลือดให้เขา เพื่อชดเชยเลือดที่เสียไปได้ เขาเสียเลือดมากเกินไป ในที่สุดก็เสียชีวิตลง

ชายหนุ่ม ผู้ซึ่งสามารถหนีโรค แต่ก็หนีไม่พ้นกรรม ที่จ้องอยู่

ในงานศพ เมื่อแขกถามถึงสาเหตุการตาย ทุกคนก็ทึ่ง เพราะเขาตายด้วยหมู แต่ใครจะรู้เล่า ชายผู้นี้ เมื่ออายุ ๑๔ ด้วยความโมโห เขาถึงกับตีหมูจนหลังหักตาย ท้ายที่สุดชีวิตเขา ก็ต้องมาตายด้วยหมู

สิ่งที่เราเล่า อยากให้เห็น อยากให้ซึ้งในคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ตอนที่เรามีเวลาสร้างพฤติกรรมที่เป็นบุญ เราท่านไม่เน้น ยามที่กรรมเขามาทวง เราไม่มีบุญพอให้เขา เราท่านจึงต้องให้ชิวิตแก่เขาแทน

พระภูมีจึงตรัสว่า คนฉลาด ต้องรู้รักษาตัวรอด ช่วยตนให้พ้นทุกข์ได้ก่อน แล้วจึงนำสิ่งที่ทำได้ ไปบอกไปสอนช่วยคนอื่น

 เราจึงสงสัยว่า หลายคนที่มา ก็มีกรรมที่ต้องวิ่งแข่งเช่นเดียวกัน ทำไมเขาจึงประมาท แม้หลวงพ่อนิพนธ์จะสอนสักฉันใด อาทิเช่น การเข้าห้องสวดมนต์ ให้ตั้งสติ สงบ ทำสมาธิ เพื่อสร้างบุญ ไว้หนีกรรม ยามที่กรรมมาถึง รู้ตัวก็สายเสียแล้ว จะกลับมาบอกก็ไม่ได้

ก็ขนาดคนที่เขาตั้งใจหนี หนีมาได้สิบกว่าปี ประมาทนิดเดียว กรรมยังเอาตายเลย .....

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักสอนว่า การช่วยคน ก็คือการใช้ภูมิปัญญาของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนถ่ายทอดมาให้ เป็นสติ และชิงไหวชิงพริบ กับ กรรม ที่ทำมา เพื่อรักษาตนให้รอด

สติจึงมีความสำคัญ เพราะยามใดที่เราขาดสติ กรรมที่จ้องอยู่ก็จะเข้าเล่นงานเรา งับถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง หากแต่ถ้าเขางับได้เต็มปากเต็มคำ นั่นหมายถึงชีวิต....

การฝึกสติ ในยามเข้าห้องสวดมนต์ หรือขณะสวดมนต์ ฟังธรรม จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสู้กับกรรม

เมื่อขาดสติ ก็เหมือนเปิดช่องโหว่ให้กรรมงับ แม้หายโรค ก็หาพ้นความตายได้ จึงไม่น่าแปลก ที่คนที่ประสพความสำเร็จ ในหลักของพระโคดม จึงมีจำนวนน้อยนิด แค่หลักหมื่น ในขณะที่คนอินเดียยุคนั้น มีเป็นร้อยล้านคน .....

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักกล่าวว่า เมื่อฟังเหตุและผล ก็เลือกเอา จะยืนอยู่ข้างไหน หากจะยืนข้างพระภูมี ก็ต้องทำใจ เพราะมีเพื่อนน้อย แต่มีความสุข

ชิงไหวชิงพริบ


คำสอนที่เรามักจะได้ยินได้ฟังเสมอ คือ โรคเกิดจากกรรม โรคจึงเป็นปลายเหตุ ที่นำมาเพื่อการใช้กรรม ด้วยเหตุนี้หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวว่า โรคไม่น่ากลัว เพราะเป็นแค่ลิ่วล้อ หาใช่ตัวแม่ไม่

สิ่งที่น่ากลัวคือ "กรรม" ต่างหาก ตัวเอกของเรื่อง ต้นเหตุแห่งสรรพสิ่งที่แม่ชีเมี้ยนมักตรัสว่า "กรรมมันใช้ กรรมมันสั่ง แล้วเป็นทุกข์"

ดังนั้น โรคที่เป็นอยู่ ก็ทำให้รู้ความหนักเบาของกรรม ว่าสาหัสสากรรจ์เพียงใด ที่สำคัญกว่ามีวันเวลาเหลืออีกเท่าใด โรคบางโรค เช่น อัมพฤกต์ เบาหวาน ความดัน เป็นต้น โรคจำพวกนี้ เป็นทัณฑ์ทรมาน มีไว้เพื่อทรมาน จึงเป็นโรคที่มีเวลาเพียงพอ เพราะไม่ใช่มาเพื่อฆ่า แต่มาเพื่อทรมาน

แต่โรคบางโรคนั้น วันเวลาลิขิตมาแน่นอน มาเพื่อฆ่า กระนั้นก็ตาม หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ถ้าหมดอายุขัย ก็ต้องยอม แลพึงตั้งความหวังเพียงให้ไปอย่างสงบ ก็ถือว่าประสพผลแล้ว แต่ในกรณีที่ยังไม่หมดอายุขัย สิ่งนี้ย่อมเปรียบเสมือนอุบัติเหตุแห่งชีวิต สามารถก้าวผ่านได้ ท่านจึงมักอุปมาพรหมลิขิตอายุขัย เหมือนสะพานไม้ มีขอนวางเรียงกันให้เราท่านเดิน แต่อีกไม่กี่ก้าวทางข้างหน้าสะพานชำรุด อาจแค่ผุ หรือหัก การเดินย่อมต้องระวัง หรือต้องซ่อมขอนไม้นั้นก่อน

หากเราท่านไม่ซ่อม และโชคดีพอ ขอนไม้นั้นแค่ผุพังนิดหน่อย ก็อาจเพียงแค่สะดุด หรือ ตกหล่ม ไม่ถึงกับร่วง ก็พยุงตัวลุกขึ้นไปต่อได้ แต่หากบุคคลใด ขอนไม้ที่ผุพัง หรือหัก มีระยะห่างเกินกว่าจะก้าวข้ามได้ ทำให้เดินไม่สุดราวสะพานพรหมลิขิต นั่นแลคืออุบัติเหตุแห่งกรรม

การจะซ่อมให้สะพานนี้เดินต่อไปได้ จึงต้องอาศัยบุญในการซ่อมแซม ดังนั้น องค์ประกอบที่สำคัญในการรักษาโรคด้วยตนเอง สำหรับคนจำพวกนี้ สมุนไพร คงไม่เพียงพอ พระภูมีจึงบัญญัติ "ธรรม" เพื่อหาบุญ มาซ่อมแซมสะพานชีวิตของเราท่านให้สามารถเดินต่อไปได้นั่นเอง

ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มา ของคำขวัญของชมรมคนรักสุขภาพ ที่ว่า "สมุนไพรรักษาโรค ธรรมรักษากรรม" ผู้ใดทำได้ส่วนเดียวก็นับว่ายังเสี่ยง หากทำได้ถึงพร้อมทั้งสองส่วน ก็มั่นใจได้ว่า สามารถเดินไปจนสุดสะพานได้อย่างแน่นอน

หากแต่ว่า การนำธรรมมาปฏิบัติ มีอุปสรรคใหญ่คือ ความไม่คุ้นเคย และเป็นเรื่องที่ต้องฝืนนิสัยเดิมที่ทำมา อย่างมหาศาล ดังนั้น สิ่งที่มักปรากฎ ผู้ที่มีความสาหัสสากรรจ์ในกรรมที่ทำมา เมื่อตกลงปลงใจใช้แนวทางนี้ พยายามทำอย่างเต็มที่ กรรมก็อาศัย ช่องโหว่ ทีเผลอ หรือนิสัยเดิม เป็นเหตุให้ คนผู้นั้นไม่ประสพผล ในการหนีกรรมพ้น ทำให้เสียชีวิตได้ พูดง่ายๆ ตามคำของหลวงพ่อนิพนธ์ก็คือ "เราประมาท ประเมินกรรมต่ำไป ทำให้ชะล่าใจ"

ด้วยเหตุที่คิดว่า เราท่านนั้นมีสมุนไพรดี ทานได้ และทำถูก อีกทั้งยังพยายามทำตามคำสอนของพระภูมี แล้วก็วางใจนั่นเอง

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

โกหก - สมุนไพรไทยกรุณา หลอกกันทำไม



ได้ฟังคนไข้คุยให้ฟัง เลยเก็บมาฝากให้คิดเล่นๆ

ก็ด้วยเหตุที่คนไข้ทั่วไป ส่วนใหญ่แล้วจะผ่านมือหมอ ไม่ว่า หมอหลวง หมอผี หมอแมะ หมอ... มาแล้วทั้งสิ้น

หลังจากได้ฟังวิทยากรบรรยาย สิ่งหนึ่งที่เป็นที่รู้กันนั่นคือ การให้หยุดยาเคมีทั้งหลายที่กินอยู่เสีย เพราะเป็นปัจจัยที่ไม่ใช่ธรรมชาติ ร่างกายย่อยไม่ได้ ผลก็คือ กลายเป็นสิ่งตกค้างในร่างกายที่ไม่สามารถขับออกได้ ก่อให้เกิดปัญหานานาประการนั่นเอง

และก็ด้วยความกลัว หรือ ยังไม่มั่นใจ สิ่งหนึ่งที่จะพบเห็นตลอดก็คือ คนไข้ไม่น้อย ที่แม้ว่าจะเลือกเดินในสายสมุนไพรแม่ชีเมี้ยนแล้วก็ตาม ก็ยังกลับไปหาหมอที่ตนเคยรักษาก่อนหน้า อย่างน้อยก็เพื่อตรวจดูว่า อาการของตนเป็นอย่างไร ดีขึ้นไหม ก็ด้วยความเชื่อที่ว่า ร่างกายดี ก็ต่อเมื่อผลตรวจดังกล่าวต้องออกมามีค่าดี

หลายต่อหลายคน เชื่อหลวงพ่อนิพนธ์ที่สอน ยอมที่จะทิ้งยาหมอทั้งหมด แต่ก็ยังไปพบหมอให้ตรวจ และเมื่อผลตรวจที่ปรากฎออกมา หมอก็บอกว่าอาการดีขึ้น ทานยาปกติดีหรือเปล่า คนเหล่านั้นก็จะตอบว่า ทานตามที่หมอสั่งนั้นแหละ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริง หลังจากมาใช้แนวทางนี้แล้ว ก็ไม่เคยกินอีกเลย

คำพูดลักษณะนี้เราจะได้ยินบ่อยในหมู่คนไข้ที่คุยกัน และอาจมีบางราย เราได้ฟังเมื่อเขามาเล่าให้เจ้าหน้าที่ฟัง เขามีอาการหอบหืดรุนแรง ต้องใช้ยาพ่นตลอด มาได้ครึ่งปีแล้ว ตอนที่มาอาการค่อนข้างรุนแรง เมื่อฟังวิทยากร ท่าน อ.อร่าม ซึ่งก็เคยเป็นโรคเดียวกัน และรุนแรงเช่นกัน ยุให้ทิ้งยาพ่น คนไข้ผู้หญิงท่านนี้ ก็ทำตาม พร้อมกับมีคำถามมาถามทุกอาทิตย์เสมอว่า พี่จะตายไหม จะไหวไหม

เผลอแพล็บเดียว ผ่านไปครึ่งปี ก็กลับไปตรวจเช็คร่างกายใหญ่อีก พร้อมกับฟังหมอวินิจฉัย เมื่อหมอตรวจสารในร่างกาย ปรากฎว่า ไม่มีสารเคมีตกค้างในร่างกายเลย หมอจึงถามว่า ไปทานอะไรมาหรือเปล่า คนไข้ปฏิเสธ หมอวินิจฉัยว่า อาการเธอน่าจะเข้าขั้นวิกฤต เพราะไม่มีสารยาอยู่ในกระแสเลือดเลย แสดงว่าร่างกายปฏิเสธยาทาน และยาพ่น อย่างสิ้นเชิง หมอจึงกล่าวว่า คงต้องใช้วิธีฉีดเข้าเส้นโดยตรงเลย คนไข้ก็บอกรับทราบ แต่ขอเลื่อนไปก่อน

ในโลกแห่งความเป็นจริง คนไข้รายนี้อยู่มาโดยไม่ใช้สารเคมีมาครึ่งปีแล้ว จนปัจจุบัน ไม่มีอาการหอบรุนแรงปรากฎให้เห็นอีกเลย เรียกได้ว่าเธอฟื้นกลับมาจนเกือบปกติแล้ว

สิ่งที่เราคิดก็คือ ในเมื่อหลักของสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ผลสุดท้าย ก็คือให้กลายเป็นคนดี แต่ถ้าโลกนี้บัญญัติว่า คนดีต้องไม่เป็นคนโกหก แต่สิ่งที่เราเห็น คนไข้ที่นี่ส่วนใหญ่ก็โกหกหมอมาตลอด จะเรียกว่าเป็นคนดีได้ไหม

แล้วเราท่านว่าควรจะโกหกดี หรือไม่โกหกดี .... ขี้หกทั้งเพ แหละเราว่า ... ชิมิ

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ธรรมรักษา


แนวความคิดที่ต่างกันอย่างสุดโต่งในการรักษา มาจากรากฐานความคิดที่ใช้ในการเริ่ม

แนวทางทั่วไป เห็นว่าโรคเป็นศัตรู ต้องพิชิต ต้องกำจัด นั่นคือ การกำหนดเป้าหมาย ต้องฆ่าโรคให้ตาย แล้วจึงคิดค้นกระบวนการเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนั้น

จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ตัวยาที่ถูกคิดค้นขึ้นมา หน้าที่หลักก็คือ ทำลาย ประเภท เดินหน้าฆ่าลูกเดียว และไม่สนว่า สิ่งที่ฆ่านั้นจะใช่เป้าหมายหรือไม่ หรือกระทบกระเทือนไปยังส่วนอื่นหรือไม่

อุปมาขี่ช้าง จับตั๊กแตน ก็ไม่รู้ว่าจับได้หรือไม่ แต่ทุกแห่งหนที่ช้างเยื้องกรายไป ย่อมแหลกราญก่อนแล้ว

ร่างกายก็เฉกเช่นเดียวกัน จึงไม่น่าแปลกที่ไม่รู้ว่ายาที่ทานเข้าไปรักษาอาการ หรือโรคที่เป็นอยู่ได้หรือไม่ แต่ที่รู้แน่คือ ผลข้างเคียงเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ที่เห็นเด่นชัด ก็คือการฉายรังสี เมื่อถึงขีดจำกัดของร่างกาย ไม่รู้ว่าเชื้อมะเร็งตายหรือไม่ แต่ร่างกายบอบช้ำ ผมร่วง อ่อนแรง ไหม้เกรียม เกิดขึ้นแน่

ในทางตรงกันข้าม แนวทางของสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมาให้ แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า เป็นหลักของพระภูมี ดังนั้น วิธีการที่ใช้ จึงใช้กระบวนการธรรมชาติ ฟื้นฟูภูมิ และอวัยวะ ให้แข็งแกร่ง แล้วผลักดันเชื้อโรค หรือ ส่วนเกินออกจากร่างกาย

เมื่อร่างกายมีความสามารถกลับมาดังเดิม ร่างกายก็จะต้องเลือกกรรมวิธีที่ปลอดภัย ในการขับเชื้อโรคนั้นออกจากร่างกาย ไม่ใช่ฆ่าเชื้อ ดังนั้น สิ่งที่ปรากฎ เมื่อถึงระยะหนึ่ง ร่างกายเราจะต้องขับเชื้อ ก็จะปรากฎว่า มีอาการ อาเจียน ปัสสาวะบ่อย ถ่ายบ่อย หรือมีแผลปะทุที่ผิวหนัง มีอาการไอ หรือในกรณีของตา อาจจะมีขี้ตาออกมาก และเกาะกันจนแข็ง ลืมตาไม่ขึ้นในตอนเช้า ต้องใช้น้ำซับให้นิ่มเช็ดออก เป็นต้น

ความสามารถในการผลักดันเชื้อออกจากร่างกาย เป็นปกติที่ทำได้อยู่แล้วของคนทั่วไป หากแต่ยามใดที่อวัยวะเราบกพร่อง จึงเปิดช่องให้เชื้อโรค ทิ้งตัวและพักอยู่ในร่างกาย ของเราท่านได้

ด้วยเหตุและผล ดังกล่าว แนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จึงไม่จำเป็นต้องรู้ หรือวินิจฉัย ว่าท่านเป็นโรคอะไร เพราะพหูสูตรอันนี้ของพระภูมีนั่นเอง เมื่อเราท่านชดเชยซ่อมแซมอวัยวะที่บกพร่อง โดยการทานสมุนไพร เพื่อฟื้นฟู และเสริมภูมิที่หายไปได้แล้ว ที่เหลือร่างกายจึงทำหน้าที่เองตามปกติ

ในกรณีของผู้ป่วยเอดส์ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ยิ่งเป็นการง่าย เพราะสิ่งที่ร่างกายขาด เป็นเพียงแต่ความสามารถในการแยกแยะว่าเชื้อใดเป็นเอดส์ หรือ ภูมิที่ใช้ในการแยกแยะเสียไป กระบวนการขับไล่เชื้อจึงไม่เกิดขึ้น จึงเรียกว่า ภูมิคุ้มกันบกพร่อง หาใช่อวัยวะชำรุดทรุดโทรมเสียหายดังเช่นผู้ป่วยโรคอื่นๆ ไม่

สมุนไพรที่แม่ชีเมี้ยนจัดเตรียมไว้ให้ เมื่อครั้งถ้ำกระบอก ที่มอบให้หลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมกับตรัสว่า โรคนี้จะเกิดระบาดขึ้นในอีก ๓๐ ปี ข้างหน้า

สมุนไพรนี้จึงมีหน้าที่ฟื้นฟู ภูมิต้านทานดังกล่าว ทำให้ร่างกายกลับมาปกติ สามารถแยกแยะเชื้อเอดส์ และขับออกได้ เมื่อฟื้นฟูอวัยวะทุกส่วนด้วยแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจที่แม่ชีเมี้ยนตรัสกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า "ถ้าอยากทำงานเบาก็เลือกผู้ป่วย ยาเสพติด กับเอดส์" ด้วยเหตุที่ทั้งสองกรณี อวัยวะของร่างกาย ไม่บอบช้ำนี้เอง การรักษาจึงง่าย

แนวทางการรักษา ประเภท เดินหน้าฆ่าลูกเดียว จึงไม่มีวันประสพผลสำเร็จ มีแต่ทำให้เลวร้ายขึ้น และการกล่าวอ้างว่า มีสมุนไพร หรือยาวิเศษใด ที่สามารถรักษาโรคได้ ย่อมเป็นกล่าวเท็จทั้งสิ้น

เพราะเนื้อแท้ที่พระภูมีสอน ชี้ให้เห็นว่า ร่างกายมีกลไกเพื่อรักษาซ่อมแซมตัวเองอยู่ครบ เพราะทุกอณูก็ล้วนแล้วแต่สร้างขึ้นมาเองทั้งสิ้น หากแต่เมื่ออวัยวะของเราบกพร่อง ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด สมุนไพรที่ธรรมชาติสร้างให้ จึงทำหน้าที่เสริม ให้อวัยวะกลับมาดีดั่งเดิม และทำหน้าที่ได้ปกติ โรคก็จะถูกขับไปเองโดยร่างกาย

ตัวอย่างที่หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นอยู่เสมอ อาทิเช่น เมื่อกระดูกเราท่านหัก หน้าที่ของหมอ ไม่ว่า หมอพระ หรือ หมอสมัยใหม่ ก็เพียงทำหน้าที่จัดกระดูก ให้เข้าที่ แล้วดามไว้ แล้วก็กล่าวว่า รอจนร่างกายสมานกระดูกเข้าด้วยกัน จึงจะแกะออก อันจะเห็นได้ว่า การสมานกระดูก ทำเองโดยกลไกของร่างกาย หาใช่ยาเคมี หรือสมุนไพร ใดๆ มาทำหน้าที่ไม่ หากคนๆ นั้นปกติ กระดูกก็จะสมานในที่สุด หากคนๆ นั้น มีอาการผิดปกติ ก็ทำให้กระดูกนั้นไม่อาจสมานกัน

กระบวนการทำงานของร่างกาย ก็มีผลจากสภาวะจิตใจ ดังนั้น ก็ไม่แปลก ที่ต้องมีกติกา ให้ทุกคนสวดมนต์ เพื่อให้ใจสงบ กายสงบ เอื้อให้ร่างกายไม่เกิดความเครียด และกลับมาทำงานได้ตามปกติ นั่นเอง

การให้เข้ากระโจม ก็เพื่อเปิดทางให้เชื้อถูกดันออกทางขุมขน

ทุกกิจกรรมที่ชมรมคนรักสุขภาพ จัดให้ทำ จึงล้วนเป็นความจำเป็น แต่ไม่บังคับ และเมื่อเลือกแนวทางนี้ ก็ต้องยอมรับอาการที่จะพึงเกิด จากการขับเชื้อออกจากร่างกาย นั่นคือ ลงแดง

เมื่ออาการปรากฎ แล้วมีความคิด ความเห็น ว่าทำไมเป็นอย่างนี้ เมื่อก่อนไม่เคยเป็น พฤติกรรมเช่นนี้ จัดว่าเป็น การทำคุณบูชาโทษ จัดว่าเป็น พฤติกรรม "อกตัญญูู" ย่อมยากจะประสพผลในแนวทางนี้

แนวทางนี้พิสูจน์ตนมากว่าครึ่งศตวรรษ แต่ก็ยังถูกสงสัย ในขณะที่ยาเม็ด ไม่เคยพิสูจน์ตนได้เลยว่าช่วยได้ ไม่มีการสงสัยแม้แต่น้อย สิ่งที่ยาเม็ดพิสูจน์ให้เห็นคือ เมื่อเริ่มจากความคิดผิด ผลผิดจึงเกิด ไม่ว่าจะหลอกกันสักฉันใด ย่อมไม่มีผู้ประสพผลจากสิ่งนี้เลย

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ฟังเขาคุยกัน

"ใครรู้จัก มูลนิธิไทยกรุณา บ้าง มันรักษา ได้จริงหรอ จะโดนที่ บ้านเอาไปปล่อย ตอบที ตอนนี้ยังไม่ได้รับยา เลย"

"คือ พี่ไปเล่าให้ป้า ฟัง ป้าเลยขู่จะบอกแม่ เเม่ไม่รู้เรื่อง ไม่อยากให้แม่เสียใจแม่คงรับไม่ได้ ป้าจะเอาไปปล่อยทีมูลนิธิไทยกรุณา รักษา ด้วยสมุนไพจนกว่าจะหายถึงเอากลับ ตอนนี้ผมยังไม่ได้รับยาเลย คือรู้ว่าเป็นตอนมกราคม ตอนนี้ ยังตรวจโรคไรยังไม่หมดเลยหมอยังไม่ให้ยา ถ้าผมไปที่นั้นคงไม่รอด มั้ง โฟตอนนี้ 315 ขนาดยาปัจจุบันยังไม่มีรักษาเลย แค่ต้านมันไว้ แล้วยาสมุนไพ ผมคงตาย ได้รับศพกับมาแล้วล่ะ"

"สังคมนี้ ไง ที่เป็น ฆาตกร ที่ฆ่าเรา สมัครงานก็ตวรจเอดส์ และยังตรวจสุขภาพประจำปีอีก ตอนนี้ต้องออกจากงาน เพราะจะตรวจสุขภาพประจำปี คงไม่มีที่ไหนเอาฝ่ายบุคคลเป็นเอดส์ทำงาน องค์กรใหญ่ด้วยไง"


"กาญจนบุรี หรอ ปาล์มคนเมืองกาญจน์ ไม่รู้จักแฮะ แต่ ที่แน่ๆ โรคนี้จะหายขาดได้ยังไง ที่บ้านนายเอาอะไรคิดอ่ะ เฮ่อออ"

"ผมรู้จักครับแต่ไม่รับรองนะครับว่าจะหาย 100% แต่ถ้าถามผมว่าเคยมีคนไปแล้วหายไหม! ผมตอบได้เลยว่ามีครับ แต่ที่ผมไม่อยากโพสไปในเวปเนื่องจากกลัวคนจะหาว่าผมงมงายหรือมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรหรือป่าว โดยส่วนตัวผมถ้าผมตรวจแล้วมีเชื้อจริง ที่นี้คงเป็นที่แรกที่ผมจะไปก่อนรับยาต้านแผนปัจจุบันครับเพราะผมเห็นว่าไม่ได้เป็นการเสียหายอะไร ถ้าไม่หายจริงๆ หรือ CD4 ตกก็ค่อยมารับยาต้านก็ได้ อยากให้ลองไปฟังหลวงพ่อท่านสักครั้งครับ ตัวผมเองบารมีไม่ถึงที่จะมาเล่าทุกอย่างครับ ก็คงเป็นอีกทางเลือกอะครับ ไม่ลองไม่รู้ แล้วอีกอย่างคือทางมูลนิธิก็ไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายอะไรอีกด้วย"

"ไปรับการรักษาตามโรงพยาบาลเถอะครับเมื่อถึงเวลาก็รับยาต้านแค่นี้ชีวิตก็ยืนยาวแล้วครับ ไม่มียาสมุนไพรตัวไหนต้านไวรัสอยู่หรอกครับผมเห็นที่เข้ารับการรักษาสมุนไพรมาไม่เห็นว่าจะรอดสักรายสุดท้ายร่างกายทรุดหนักก็ต้องรับยาต้านอยู่ดี โรคนี้เป็นปัญหาของคนทั้งโลก ถ้าเค้าดีจริง รักษาหายจริง มันคงจะดังไปแล้วครับ ตรรกะง่ายๆ ก็ลองพิจารณาดูเอาเถอะครับ ชีวิตคนไม่ใช่ของเล่นจะเอาให้เราเป็นหนูทดลองยาทำไม สมุนไพรส่วนมากก็จะแฝงด้วยเสตียรอยด์ แน่ใจเหรอครับว่ามันผ่านกระบวนการทำที่ถูกต้องแล้วปลอดภัยแล้ว ยังไงก็อย่าเครียดนะครับถ้าเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้องมันก็ไม่ต่างจากคนปกติเลย"

"พวกที่ชอบมาแนะนำตามแนวสมุนไพรถ้าดีจริงหายจริงก็เชิญท่านไปรักษาให้หายก่อนแล้วค่อยมาโฆษณาชวนเชื่อเถอะครับ ชีวิตคนไม่ใช่ของเล่นๆ ถ้าทรุดลงไปอยากจะถามว่าความหวังดีของพวกท่านรับผิดชอบชีวิตพวกเราได้ไหม"

"อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารักษาโรคเอชไอวีหายไหม ต้องไปสอบถามดูค่ะ หรือไปคุยกับหลวงพ่อดู หลวงพ่อนิพนธ์ คงให้คำตอบได้ แต่ที่นี่ก็ดังพอสมควร ได้ยินมาถึงที่นี่ ว่าที่นี รักษาคนที่ป่วยหายมาหลายโรคแล้ว"


"ในฐานะที่ป่วยด้วยโรคนี้มานาน แล้วก็กินยามาสิบปีแล้ว ถ้ายังไม่ได้กินยาต้านแบบทุกวันนี้ เพราะกินแล้วหยุดไม่ได้หมอไม่ให้หยุด ครั้นเราจะหยุด เพื่อไปลองสมุนไพร ยาที่กินอยู่ก็หยุดไม่ได้ "


ถ้าเป็นเราเอง ในขณะที่ไม่ได้กินยาต้านแล้ว เราก็จะลองเหมือนกัน และจะสู้ให้ถึงที่สุด แล้วผลที่ตามมา จะหายหรือไม่หาย ก็ช่างมัน ถ้าเรารู้ว่าไม่มีทางหายแล้ว เมื่อถึงเวลาเราก็ยังกลับมากินยาต้านได้เหมือนเดิม 


"ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่มันแน่นอน หรือไม่แน่นอน ไม่ลองก็ไม่รู้ค่ะ ถ้าเราได้ลองแล้ว และไม่เป็นผล มันก็ยังไม่สายไป ที่จะกลับมารับยาต้าน แล้วถ้าหาย ก็ยังเอามาบอกเพื่อนๆ ได้ โดยเก็บหลักฐานที่เราเป็น แล้วพอมาตรวจอีกครั้งไม่เป็นแล้ว เอามาโชว์ให้เพื่อนๆ ดู เพื่อนจะได้เชื่อ "


"หากว่าคุณหาย คุณก็กลับมาบอกเพื่อเป็นหนทางเลือกให้น้องใหม่ๆ ที่เข้ามา ได้หายเหมือนกันบ้างนะค่ะ เอาใจช่วยค่ะ สู้ๆ ค่ะ "


"แต่อย่าลืมว่าเมื่อรักษาไปได้สักระยะ แล้วไปตรวจดูซีดีโฟร์ ว่ามันขึ้นไหม แล้วติดตามผลอย่างใกล้ชิด ถ้ามันไม่ได้ผลหรืออาการเราไม่ดีขึ้นเลย โฟร์ลดลง คุณต้องไปหาหมอเป็นระยะๆ เพื่อติดตามผลนะคะ ยังไงแจ้งข่าวทางกล่องข้อความด้วยนะคะ ว่าคุณดีขึ้นอย่างไร โฟร์อยู่ที่เท่าไหร่ หลังจากหกเดือนผ่านไป ที่นี่ไม่เอาเงิน ไม่ใช่การหลอกลวง เหมือนที่หลายที่เคยทำมา คือเอาสมุนไพรมาอ้างแล้วเอาเงิน แต่ก็ไม่ได้หายจริงๆ แล้วคนที่ไปก็อาการแย่มากแล้ว มีโรคแทรคซ้อนมากมาย ก็ต่อสู้ไม่ไหว ในสมัยก่อน คนที่ติดกันก็เลือกแนวทางนี้"


"เพราะสังคมรังเกียจ และไม่มีความรู้ดีพอ ใครชักจูงไปทางไหน ก็ทำเพื่อจะให้รอด แต่ในสังคม มีทั้งคนหลอกลวง และคนที่ต้องการเงิน โดยไม่คำนึงถึงความตายของคน และที่ผ่านมาก็มีคนตายกันเยอะ แต่ที่เค้าเหล่านั้นไป ก็เป็นเพียงสถานที่ที่อ้างว่ารักษาหาย เป็นบ้านคน"


"เคยมี เคส แบบนี้นะคะ รักษาด้วยสมุนไพร ตอนนี้ น้องเค้าไม่อยู่แล้วอ่ะค่ะ ไง ก็รักษาแพทย์แผนปัจจุบันดีกว่านะคะ สู้ๆ ค่ะ"

"จะไปทำไม มูลนิธิ เอาใบไม้อะไรมาต้มให้กินก็ไม่รู้ แค่ฟังเค้าเล่าต่อๆ กันมาจะไปเชื่อได้ยังไง จะเอาชีวิตไปเสี่ยงทำไม ไม่เห็นมีประโยชน์"


"กินยาต้านจากโรงพยาบาล แค่นี้ก็สบายดี ปกติแล้ว คนเค้าก็รักษาด้วยยาต้านกันทั่วทั้งโลก
เดี๋ยวนี้โรคนี้มันรักษาได้ แค่มันไม่หายขาด ก็กินยาวันละครั้ง หรือสองครั้ง ไม่เห็นจะยากอะไรเลย ยาก็ฟรี"


"ผมเริ่มต้น cd4 =9 กินยามาปีกว่า ตอนนี้ 250 ล่ะ แล้วก็คงจะขึ้นไปเรื่อยๆ  สุขภาพแข็งแรงดีมากกว่าเมื่อก่อนอีก ไม่ป่วยอะไรเลยมาปีนึงล่ะ อยู่บ้านกับพ่อแม่พี่น้อง ไม่เคยย้ายไปอยู่ไหน"

"ไปหาหมอปกติ ตามโรงพยาบาลเนี่ยแหละครับ ไปตามที่เรามีสิทธิ์รักษาฟรี ยาต้านเดี๋ยวนี้กินง่าย"


"สำคัญที่สุดคือ กำลังใจครับ ป้ารังเกียจเรา ก็ช่างเค้า เป็นเพราะเค้าไม่รู้ ติดกับภาพเก่าๆ พ่อแม่ไม่รังเกียจเราหรอก (แค่บางครั้งอาจจะตกใจบ้าง) ค่อยๆ ให้ความรู้เค้าครับ เดี๋ยวพอเค้าเห็นว่าเราสบายดี เค้าก็เข้าใจเอง"


"เดี๋ยวนี้ถ้ามือถือไม่ดัง เพราะตั้งปลุกไว้ว่างถึงเวลากินยา ผมก็ลืมไปแล้วเนี่ยว่าติดเชื้อ"


"เห็นเขาว่าเป็นสมุนไพรกระตุ้นภูมิต้านทานนะครับ แต่กินยากมาก เป็นการรักษาแบบสมุนไพร+จิตศัทธานะ ผมคิดว่าก็เหมือนยาแผนปัจจุบันละ แต่กินง่ายกว่า ยาปัจจุบัน กดไวรัสไว้ ร่างกายก็สร้างภูมิขึ้นเอง เราก็ช่วยด้วยการกินอาหารดี นอนพักผ่อนมากๆ ไม่เครียด ออกกำลังกาย ก้ได้ผลเหมือนกัน"


"ฉันอยากรู้ ใครรักษาแล้ว HIV หายจาก บวก เป็น ลบ"


"ไม่ได้ว่า คุณงมงายหลอกนะ"


"แต่สิ่งที่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ คือ มันยังไม่มีทางเป็นไปได้ใน ปัจจุบัน"

ชอบความเห็นหนึ่ง ที่กล่าวว่า "ชีวิตไม่ใช่ของเล่น" จึงขอให้ไตร่ตรองให้ดี แล้วเลือก เลือกผิด ผลผิดก็เกิด เลือกถูก ผลถูกก็เกิด .....

วัคซีนเอดส์

หลายปีก่อน มีบุคคลที่เป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งคนไข้ ของหลวงพ่อนิพนธ์กลุ่มหนึ่ง บังเอิญท่านเป็นภรรยาของท่านทูตต่างประเทศ จึงต้องเดินทางตามสามีเมื่อถูกย้าย

และในขณะที่สามีได้มาประเทศไทย จึงได้มีโอกาสมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านของหลวงพ่อนิพนธ์ ในขณะที่ยังเป็น "ศาลาขนมไทย" ด้านหน้าถนนทางเข้าที่รื้อไปแล้วในปัจจุบันนี้

ไม่กี่วันที่ผ่านมา ได้อ่านข่าวผ่านตาเรื่องวัคซีนเอดส์ จึงนึกถึงเรื่องดังกล่าวขึ้นมาได้

เพราะในช่วงที่บุคคลกลุ่มน้้นมาพักรักษาตัวนั่นเอง คนกลุ่มนี้มีเพื่อนคนไทยที่เป็นแพทย์ใหญ่ ทำงานอยู่ในอเมริกา และทุุกปีจะต้องบินมาเป็นวิทยากรให้แก่แพทย์ไทย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่กลุ่มคนนั้นอยู่ที่บ้านหลวงพ่อนิพนธ์นั่นเอง

แพทย์ท่านนั้นได้มาเยี่ยมและพักที่บ้านหลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้พบเห็นกลุ่มคนโรคเอดส์ที่ผ่านการรักษาของหลวงพ่อนิพนธ์ในขณะนั้น พร้อมกับทึ่ง

ด้วยความเป็นแพทย์ จึงได้ร้องขอหลวงพ่อนิพนธ์ ให้จัดกลุ่มตัวอย่างคนที่เป็นโรคนี้ ประมาณ ๕ คน เพื่อขอเลือดนำไปตรวจ

หลวงพ่อนิพนธ์ไม่ขัดข้อง แพทย์ท่านนั้นจึงนำเลือดเพื่อเข้าตรวจอย่างละเอียด พร้อมกับรายงานผลให้หลวงพ่อนิพนธ์ทราบ

ท่านกล่าวกับหลวงพ่อนิพนธ์ว่า จากตัวอย่างเลือดทั้งหมด พบว่า ทุกคนยังตรวจย้อมสีติด อันแสดงว่าคนกลุ่มนี้ติดเชื้อดังกล่าวจริง แต่ที่สร้างความประหลาดใจให้แก่แพทย์ท่านนี้มากคือ จำนวนเม็ดเลือดต่อลูกบาศก์เซ็นต์ (ซีซี) ของคนกลุ่มนี้ ที่ควรจะต่ำกว่าคนปกติทั่วไปมาก เพราะถูกทำลาย กลับปรากฎว่า ทุกคนล้วนแล้วมีจำนวนเม็ดเลือดมากกว่าคนปกติทั่วไป

ปรากฎการณ์แบบนี้ แพทย์ท่านนั้นกล่าวว่า มักจะมีเฉพาะในช่วงแรกที่เป็นทารกเท่านั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า เกิดจากสมุนไพรได้ทำให้ร่างกายฟื้นฟูประดุจทารกเกิดใหม่นั่นเอง

สิ่งที่นายแพทย์ท่านนั้นพูดกระเซ้าหลวงพ่อนิพนธ์ก็คือ หลวงพ่อนิพนธ์กำลังตกอยู่ในอันตรายรู้ไหม หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ทำไมหรือ นายแพทย์ท่านนั้นจึงกล่าวว่า ก็ถ้าพวกต่างชาติมันรู้เข้าว่าท่านทำได้ นั่นหมายความว่า คนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ สามารถนำไปใช้สร้างเป็นวัคซีนได้นั่นเอง เพราะคนเหล่านี้อุปมาม้าที่แก้พิษงูได้

ในเมื่อร่างกายของคนเหล่านี้สามารถต่อสู้กับเชื้อได้ คนเหล่านี้ก็คือวัคซีนนั่นเอง ย่อมมีค่ามหาศาล

ดังนั้น เมื่อได้อ่านข่าวว่ามีการวิจัยเพื่อทำวัคซีน เราจึงได้แต่เศร้าใจ ที่อย่างน้อยเพื่อนคนไทย ก็น่าจะมีโอกาส เพราะของดีมันอยู่ใกล้ตัวแค่นี้เอง และหนทางที่คนเหล่านั้นเดิน ย่อมไม่มีวันประสพผล เสียดายงบประมาณ และชีวิตคนที่ต้องสูญเสียไป เพราะทุกชีวิตที่เสียนั้น ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่คนรอบข้างก็สูญเสียเช่นกัน รวมไปถึงประเทศชาติ ที่ต้องเสียบุคลากรในการสร้างชาติ

อย่างน้อยก็ยังพอมีความหวัง หลังจากภาครัฐเริ่มเข้ามามีบทบาท เริ่มจากการรถไฟ แม้ช้าไปหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่เริ่ม เราจึงหวังว่า จะได้เห็นครอบครัวของคนเหล่านั้น กลับมามีสุขอีกครั้ง ดังภาพของครอบครัววิศวกรหนุ่ม จากจุฬา ในปีที่แล้ว ได้เห็นแม่ลูกยิ้มหัวเราะ และได้วิศวกรที่กลับมาเป็นกำลังที่ดีของชาติอีกคน

รถไฟกรุณา

ตามที่ได้แจ้งข่าว ความอนุเคราะห์จากการรถไฟแห่งประเทศไทย ไปก่อนหน้านั้น ขอแจ้งรายละเอียดความคืบหน้าเพิ่มเติม

ข้อสรุปเบื้องต้น ทางการรถไฟจะจัดขบวนรถไฟพิเศษ เดินรถจาก สถานี บางกอกน้อย ผ่านและจอดสถานีชั่วคราวที่ด้านหน้าของชมรมคนรักสุขภาพ จำนวน ๒ ขบวน

คือ เช้า ๒ ขบวน และขากลับ ๒ ขบวน โดยเวลาที่คาดกันไว้ในเบื้องต้น แต่อาจมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สมาชิก มีความสะดวกที่สุดในการเดินทางคือ เที่ยวแรกจะถึงชมรมคนรักสุขภาพ ประมาณ ๗.๓๐ น. และเที่ยวที่สอง ประมาณ ๙.๐๐ น. และในเที่ยวกลับเข้ากรุงเทพ เที่ยวแรกจะประมาณ ๑๕.๓๐ น. เที่ยวที่สอง ประมาณ ๑๖.๓๐ น.

เวลาดังกล่าว อาจมีการปรับเปลี่ยน เพื่อให้สะดวกมากที่สุด และเป็นประโยชน์มากที่สุด หากมีการปรับเปลี่ยน หรือ หากทราบเวลาที่แน่นอน จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

แต่ที่แน่นอนแล้วคือ มีเที่ยว ไป และ กลับ สองขบวนต่อวัน

ประการต่อมา ทางการรถไฟแจ้งว่า เพื่อให้สะดวกแก่คนไข้ ไม่แออัดจนเกินไป จึงจะเปิดให้บริการ ๔ วัน ต่อสัปดาห์ คือ ก่อนหน้าวันทำการของชมรมคนรักสุขภาพหนึ่งวัน และในวันทำการอีกหนึ่งวัน นั่นคือ ขบวนรถไฟดังกล่าวจะให้บริการ ในวัน พุธ พฤหัส เสาร์ และอาทิตย์

เพื่อความสะดวกในการจัดโบกี้รถไฟ และจัดระเบียบผู้โดยสาร ทางการรถไฟแจ้งว่า บริการดังกล่าว ทางการรถไฟจะจัดให้โดยสารฟรี โดยในเบื้องต้น ระบุจำนวนไว้ที่ ๖๐๐ ที่นั่ง

ทั้งนี้ บุคคลที่จะใช้บริการดังกล่าว ต้องมีบัตรโดยสาร ที่ออกโดยชมรมคนรักสุขภาพ จึงจะสามารถโดยสารฟรีได้

และวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ชมรมคนรักสุขภาพ ก็ได้ประกาศให้ สมาชิกที่มีความประสงค์จะใช้บริการของการรถไฟดังกล่าว ให้ไปลงชื่อ เพื่อจะได้จัดทำบัตรโดยสารให้ต่อไปได้แล้ว

สำหรับสมาชิกที่บ้านไกล ทางหลวงพ่อนิพนธ์ได้จัดเตรียมสถานที่ ให้บริการ เพื่อมาพักก่อนวันทำการ คือ วันพุธ และวันเสาร์ ไว้แล้ว สามารถใช้บริการฟรี (ต้องติดเครื่องนอนมาเอง)

สำหรับวันเริ่มเปิดบริการ หากทราบข้อมูลจะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ก็คงหลังจากทำบัตรให้สมาชิก และแจ้งยอดแก่การรถไฟแล้วเสร็จ

เราขอขอบคุณผู้ผลักดัน การรถไฟ และผู้มีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้ เป็นอย่างสูง ไว้ ณ ที่นี้ แทนผู้ป่วยที่ใช้บริการ ... ขอบคุณ ๆๆๆๆๆ

ตายแล้วเกิด

สมุนไพร แม่ชีเมี้ยน แม้จะทรงคุณค่าสักฉันใด ก็มีกับเฉพาะคนบางกลุ่มบางจำพวกเท่านั้น

และถึงแม้จะเป็นทางเลือกที่ดี และปลอดภัย สักฉันใด แต่ก็อาจไม่ให้ผล หากแม้นเลือกแล้วเดินไม่ถูก การเลือกนี้ก็สูญเปล่า

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน หรือ ทางเลือกสายนี้ จะให้คุณประโยชน์สูงสุด กับผู้ไม่มีทางเลือกแล้ว คือ ประตูอื่นๆ ถูกปิด หรือถูกพิพากษาลงกลอนว่า "ตายสถานเดียว" นั่นเอง

ท่านจึงขยายความให้เห็นว่า เมื่อผู้ป่วย ดิ้นรน ค้นหาทางรอด หมดทุกสาย จนไม่ว่าจะเหลียวไปทางไหน ก็ไม่รับ และบอกว่า ทำใจ รักษาไม่ได้ รอวันตาย นั่นแหละคือสภาวะที่ดีที่สุดของผู้ป่วย ที่เหมาะสมในการมาใช้ทางเลือกสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน แล้วมีโอกาสหายมากที่สุด ไม่ว่าจะสาหัสสากรรจ์สักฉันใด หากแม้นยังไม่หมดอายุขัย ย่อมง่ายที่จะประสพความสำเร็จ

ภาพที่สะท้อนให้เห็นชัด ในคนไข้ที่ผ่านมา ก็ปรากฎยืนยัน ในคำพูดนี้ ไม่ว่าจะเป็นโรเบิร์ต วิศวกรหนุ่ม ที่เป็นมะเร็ง ผ่าแล้วผ่าอีก จนหมอบอกว่า ผ่าไม่ได้แล้ว คุณปรียานุช ปานประดับ หรือแม้แต่นักร้องคาเฟ่ ที่รู้ตัวว่าติดเชื้อเอดส์ แล้วไปกระโดดสะพานแม่น้ำเมย เพื่อฆ่าตัวตาย ที่หลวงพ่อนิพนธ์ช่วยไว้ แล้วทำให้กลับมามีชีวิตได้อย่างปกดิสุข

เหตุผลก็คือ บุคคลเหล่านั้น จะเกิดสมาธิ ความนิ่ง และไม่หวั่นไหว ตามคำของผู้อื่นอีก ว่าสิ่งนี้ช่วยได้ สิ่งนั้นช่วยได้ ทำให้สามารถรวบรวมกำลังกาย กำลังใจ และปฎิบัติ ทำในสิ่งที่ช่วยตนเอง ตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมาเพื่อช่วยตนเอง อย่างเต็มที่

หลายท่าน ที่ต้องเสียชีวิต ทั้งที่ผ่านพ้นวิกฤตมาด้วยสมุนไพร แต่อาจจะไม่เร็วทันใจ หรือ เบื่อกรรมวิธีกระบวนการ ก็หันไปเชื่อคำหวาน ที่หลอกล่อ ท้ายที่สุดก็ต้องจากไป ถึงแม้อยากกลับมาใช้สมุนไพรอีก ก็ติดด้วยความอาย ได้แต่โทรมาขอขมาหลวงพ่อนิพนธ์ ก็มากมายนับไม่ถ้วน

ดังนั้น ทางเลือกสายนี้จึงต้องการความพร้อม มีเวลาพร้อม มีการกระทำพร้อม และที่สำคัญ ก็คือ มีเหตุและผลพร้อม พร้อมที่จะวางสิ่งอื่นในโลกไว้ก่อน แล้วหันมาเชื่อแม่ชีเมี้ยน เชื่อพระพุทธเจ้า ทำตามคำสอนที่หลวงพ่อนิพนธ์บอก การประสพความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกล ไม่ว่าสิ่งที่เราท่านเป็น ทางโลกจะบอกว่าสาหัส รักษาไม่ได้

ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวว่า เคล็ดของการรักษาด้วยสมุนไพร คือ ทำความคิดให้เหมือนคนจะตาย ปลงทุกสิ่ง รวบรวมกำลังทั้งหมดมาไว้ที่ตนเอง แล้วทำตามวิธีของแม่ชีเมี้ยน ในขณะที่การปฏิบัติตน กลับต้องทำให้เหมือนคนธรรมดาปกติ

คนกลุ่มนี้จึงมีลักษณะพิเศษ คือ การดำรงชีพปกติ ไม่มีข้อห้ามทำ ห้ามกิน แต่พฤติกรรมไม่ปกติ จะต้องโดดเด่นกว่าคนทั่วไป ต้องมีลักษณะผู้ให้ คือพระเวสสันดร ต้องมีอารมณ์ที่ดุจดังพระ ไม่โกรธ และที่เด่นชัดคือ พยายามที่จะให้สุขแก่ผู้อื่น ตามคำสอนของพระภูมีนั่นเอง

เมื่อปลงว่าตาย จึงกลับกลายก่อกำเนิดคนใหม่ในร่างเดิม ที่มีรูปกายเช่นเดิม แต่พฤติกรรมและนิสัย เปลี่ยนไป ... จึงเรียกได้ว่า "ตายแล้วเกิด" นั่นเอง

วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทำได้ไง


หลายคนที่ได้ยิน หรือมาที่ชมรมคนรักสุขภาพครั้งแรก มักจะมีคำถามเสมอว่า "คนเยอะขนาดนี้ เขาตรวจกันอย่างไงเสร็จ"

ด้วยปริมาณคนที่ทะลุสามพันคนต่อวัน จึงไม่น่าแปลกที่แค่คิดว่า ถ้าทุกคนต้องใช้เวลาในการตรวจ คนละหนึ่งนาที ยังทำไม่ทันเลย

แต่ด้วยหลักสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ท่านตรัสว่า วิธีการของพระภูมี หาใช่การรักษาผู้อื่นไม่ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องทำเอง พึ่งตนเอง ไม่มีใครช่วยใครได้

ดังนั้น สถานที่นี้ จึงไม่มีการตรวจใดๆทั้งสิ้น

หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องทำคือ  ๑.ให้ความรู้  ๒.ให้วัตถุดิบ

ผู้ป่วย จึงต้องเรียนรู้ว่า กระบวนการรักษาด้วยหลักตนพึ่งตน ทำอย่างไร และมีลักษณะเช่นใด พร้อมกันนั้น ก็รับวัตถุดิบ คือสมุนไพร ไป เพื่อใช้เป็นองค์ประกอบในการรักษาตน

องค์ความรู้จึงเป็นสิ่งจำเป็น ที่จะต้องเรียนรู้ให้เกิดความเข้าใจ รับเอาเหตุและผล เพื่อสร้างเป็นศรัทธา ความขันติ อดทน และพฤติกรรมให้สอดคล้อง เพราะจะหวังแต่ลำพังเพียงสมุนไพรเพียงอย่างเดียว คงเป็นไปได้ยาก

ด้วยหลักพระภูมีเป็นดั่งนี้ การรักษาคนจึงไม่มีข้อจำกัดในเรื่องจำนวน แม่ชีเมี้ยนได้ตรัสไว้ว่า แม้คนเรือนแสน ก็สามารถรักษาได้ในคราวเดียว หากแต่ท่านทำให้เขาเชื่อและทำตาม บัญญัติของพระภูมีได้แล้วไซร้ คนเรือนแสนนั้นก็สามารถหายได้ด้วยตนของเขาเองทั้งหมดทั้งสิ้น

ปัญหาก็คือ ในคนเรือนแสนที่มานั้น จะสามารถทำให้เขาเชื่อ ในเหตุและผลที่ให้ได้สักเท่าไร และมีผู้นำไปปฏิบัติ ทำตามสักเท่าใด ถ้ามีคนเชื่อและทำตามแค่หนึ่งคน ก็หายแค่หนึ่ง หากแต่ทั้งแสนคนเชื่อและทำตาม ก็หายทั้งแสนคน

ผลของการหาย จึงขึ้นกับคนผู้นั้น เป็นตัวตัดสิน ดังคำ "ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น ผู้ทำย่อมได้ ผู้ไม่ทำย่อมไม่ได้"

หลายคนจึงมักมีคำถามว่า "จะหายไหม" "รักษาได้ไหม" หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวว่า "ท่านเชื่อ และทำตาม ที่เราบอก ที่เราสอน ได้หรือไม่ นั่นแหละคำตอบ"

จึงไม่แปลก ที่สมุนไพรที่นี่ หม้อเดียวกัน มีคนที่ทานหาย และมีคนที่ทานตาย แลไม่ต้องกังวลว่า คนที่มาจะมีมากมายมหาศาลสักเพียงใด รองรับไหวไหม เพราะคำตอบ หายไม่หาย อยู่ที่ตัวเราท่านเป็นผู้เขียน

อย่าฟังเพียงลมปาก คำร่ำลือ ว่าสมุนไพรดี กินแล้วต้องหาย เห็นผู้อื่นหาย ก็เหมาว่าเราต้องหาย ดูรายละเอียด ว่าคนหายเขาทำกันอย่างไร รีบเรียนรู้ พิจารณา ชอบก็ทำ ไม่ชอบก็ลา ไปหาแนวทางอื่นที่ชอบแทน

ไม่มีสิ่งใดรู้เรื่องกายเราท่าน ดีไปกว่าตัวของเราท่านเอง นี่แหละคือเครื่องวินิจฉัยที่สุดยอด ที่ธรรมชาติให้มา

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ข้อห้าม

อีกไม่นาน ชมรมคนรักสุขภาพ ก็คงเปิดให้บริการ ผู้ป่วยโรคเอดส์ อย่างเป็นทางการ

สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักกล่าวกับผู้ป่วยกลุ่มนี้ เสมอๆ อันอาจจะถือได้ว่า เป็นพันธะสัญญา หรือสัญญาใจ ระหว่างท่านกับผู้ป่วย

นั่นคือ การห้ามไม่ให้ผู้ป่วยไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่น อันหมายถึง การกระทำอันมีเจตนาฆ่าผู้อื่น ในขณะที่การรักษาตนยังไม่เสร็จสิ้น หรือหายขาด

ภาพในอดีตของคนไข้กลุ่มนี้ ที่ปรากฎให้เห็นจนชินตา นั่นคือ การที่ร่างกายฟื้นตัวจากภาวะเลวร้ายสุดๆ ในช่วงแรกที่มา จนกลับมาแข็งเรงเหมือนคนปกติ รอวันที่ร่างกายจะรีดเชื้อออกจากร่างกายจนหมด

แต่หลายคน ก็ไม่อาจทนกิเลสนิสัยตน รอจนถึงวันที่หายขาดแล้วได้ เราจึงเห็นคนเหล่านั้น พ่ายแพ้นิสัย ความอยากของตน แอบไปมีเพศสัมพันธ์

ผลที่ปรากฎ จากสภาพร่างกายที่กลับฟื้นมาแข็งแรง ทำงานหนักได้ แทบจะเรียกว่าดีกว่าคนปกติด้วยซ้ำ ตัวอย่างเช่น หนุ่มรุ่นจากอีสาน ที่พ่อแม่ ห่อใส่เสื่อขึ้นรถ พามาหาหลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อฟื้นดี ก็ให้ไปเฝ้าเกาะ ซึ่งจัดเตรียมไว้ให้คนป่วยประเภทนี้โดยเฉพาะ เพราะมีพื้นที่ และบรรยากาศที่เหมาะสมในการฟื้นตัว จากคนที่เดินแทบไม่ไหว กลายมาเป็น คนที่สามารถแบกหามรองส้วม ทีละสองใบ เดินขึ้นเขาได้ แต่เมื่อกรรมดลบันดาล ในที่สุด เขาก็หักห้ามตนไม่ได้ ไปละเมิดคำสัญญา กับสาวรุ่นในพื้นที่นั้น

หลังจากนั้นไม่นาน คนที่แข็งแรงสุดๆ ก็เกิดอาการทานข้าวไม่ได้เลย และจากไปด้วยการขาดสารอาหาร

ลักษณะเฉกเช่นกัน ที่เกิดกับจ่า นายทหารแห่งค่ายเพชรบูรณ์ ผู้ที่ร่ำรวยจากการปล่อยกู้ให้กับเพื่อนทหาร แต่ก็ถูกนำไปใช้เพื่อรักษาตัวจนหมด

ภาพซ้ำๆ ก็กลับมาปรากฎ จ่าก็เดินรอยเดียวกับหนุ่มรุ่น ผลจากการทำผิด ทำให้จ่าที่ทำหน้าที่ดูแลต้นมะพร้าว ในชมรมทุกต้นในอดีต ก็มีอาการทรุดลงและเสียไปในที่สุด

หากแต่ผู้ที่ทำได้ ดุจดั่งนักร้องคาเฟ่ ที่สามารถรอจนตัวเองหายดี ก็สามารถกลับไปทำงาน แล้วแต่งงานมีบุตร ๒ คน ทั้งตนเองและครอบครัวก็แข็งแรงดี และยังกลับมาไหว้แม่ชีเมี้ยนทุกปีในวันงานของท่าน

ตั้งแต่ปี ๓๐ เป็นต้นมา หลวงพ่อนิพนธ์ ได้รับคนไข้ประเภทนี้ มาทดลองทานสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ผู้ที่ผิดข้อห้ามนี้ เสียชีวิตไป มีมากหลาย ผู้ที่ทำได้ แล้วสามารถกลับไปใช้ชีวิตของตน หรือแม้กระทั่งอยู่ช่วยงานในชมรมคนรักสุขภาพก็เยอะ

บทเรียนในอดีต จึงน่าจะเป็นอุทธาหรณ์ ให้คนรุ่นหลัง ได้ดู ได้เลือก แม้เขาเหล่านั้น เขียนด้วยชีวิต ก็ยังไม่ไร้ค่า ที่จะเป็นสติให้คนเดินตามได้เรียนรู้ และทำตนให้รอด

กำลังใจ

หลังจากที่มีสมาชิกผู้ที่ประสพผลสำเร็จในการหายโรคที่เป็นอยู่ มาพูดคุยให้เพื่อนสมาชิกฟังแล้วนั้น ได้มีกลุ่มสมาชิกที่อยากให้หลวงพ่อนิพนธ์ นำตัวอย่างเหล่านั้นอีกหลายๆ กรณี มาเล่าให้ฟังบ้าง

แม้ว่าเดิมที หลวงพ่อนิพนธ์ คิดว่า สิ่งเหล่านี้ เมื่อทำไปจะดูคล้ายกับเป็นการอวดอ้าง โฆษณา เพื่อเรียกคน หรือที่ใช้คำว่า "หน้าม้า" อันทำไปเพื่อดึงดูดคนมา แต่สถานที่นี้ "ทำฟรี" และงานก็มากอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะทำอย่างนั้น

ดังนั้น นับแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน หลวงพ่อนิพนธ์ จึงหลีกเลี่ยงในการอนุญาตให้ผู้ที่ประสพผลมาพูดเล่าให้สมาชิกรุ่นหลังฟัง เหตุผลหนึ่งก็เพื่อไม่ให้เกิดข้อครหาได้นั่นเอง

แต่มาวันนี้ เมื่อสมาชิก และเหล่ากรรมการเห็นว่า สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์แก่เพื่อนสมาชิก จึงขออนุญาต หลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อรวบรวม และเผยแพร่

การดังกล่าว คณะกรรมการจึงได้มอบหมายให้คุณปรียานุช ได้รวบรวมสมาชิกที่ประสพผลสำเร็จ ในการรักษาตน ที่ผ่านมา ในโรคต่างๆ และจัดทำเป็นคลิปสั้นๆ ความยาวแต่ละบุคคลประมาณ ๕ นาที แยกย่อยเป็นรายโรคไป

ในไม่ช้า เราจะได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น คนเหล่านั้น มาเล่าถ่ายทอดตั้งแต่แรกเริ่ม อาการที่ปรากฎ ลำดับขั้นตอน ของโรค และประสพการณ์ในการใช้สมุนไพร อันจะเป็นองค์ความรู้ ที่ผู้ที่เป็นโรคนั้นๆ ได้เรียนรู้ เตรียมตัว เตรียมใจ และที่สำคัญ สร้างความมั่นใจที่มากขึ้น

องค์ความรู้นี้ น่าจะเป็นประโยชน์แก่เราท่าน พอสมควร

วันอังคารที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

รอยประวัติศาสตร์

ในวันพฤหัสที่ผ่านมา มีอดีตคนไข้หนักสามท่าน ได้ขออนุญาตหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อที่จะเล่าประวัติของตนในการฝ่าฟันอุปสรรค จนพ้นวิกฤติ กลับมามีสภาพปกติดังเดิม

ด้วยเหตุที่อาจจะเป็นการกล่าวอ้างเพื่อโฆษณา ดังนั้น จึงไม่อยากกล่าวรายละเอียดของคนไข้เหล่านั้น แต่สิ่งที่เราได้ฟังและอยากจะเล่า เพราะชอบด้วยเหตุผลส่วนตัว ต่อคนไข้ท่านนั้น

หนึ่งในสามคนไข้นั้น ที่ซึ่งเป็นผู้หญิง ได้กล่าวว่า ในช่วงแรกๆ หลังจากที่เลือกแนวทางสมุนไพร เพราะหมอหมดหนทางแล้วนั้น เป็นช่วงที่ทรมานมากๆ มีอาการเจ็บ แทบจะเรียกว่า เป็นๆ หายๆ ต้องร้องไห้ สามวันดี สี่วันไข้ อยู่หลายเดือน

การดำรงสติที่ใช้ จากคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ และความมุ่งมั่นในทางเลือกนี้ ทำให้เธอผ่านความลำบากนั้นมาได้

หากไม่เพียงความเจ็บจากอาการที่เป็นอยู่ สิ่งที่เธอได้บอกกล่าว คือ ความทุกข์ที่ต้องเผชิญ แม้จากนิสัยของเจ้าหน้าที่บางคน ก็เป็นสิ่งที่เธอต้องทำใจอย่างสาหัสสากรรจ์

เธอต้องทำใจอยู่นาน และต้องฟันฝ่า น้อมนำคำสอนมาเป็นสติ เพื่อผ่านให้ได้ จนวันนี้ โรคที่เธอเป็น จนหมอทิ้ง ใช้ระยะเวลาสี่ปี เธอจึงกลับมาปกติดังเดิมอีกครั้ง

นี่แหละคือเรื่องจริง ที่เราท่านควรนำมาคิด ผู้ที่ประสพผลจากแนวทางนี้ ได้สร้างรอยให้เดินตาม และชี้ให้เห็นว่า กว่าจะประสพผลสำเร็จ ต้องฝ่าฟันอุปสรรค และใช้เวลา ต้องอาศัยความอดทน และสติมหาศาล

และถึงวันนี้ วันที่เธอเป็นปกติ เธอก็กลายเป็นผู้ให้อย่างเต็มตัว จนในทุกวันนี้ แม้เธอจะกลับมาปกติ เธอก็ยังมาเพื่อร่วมกิจกรรมในชมรมแห่งนี้ เพื่อสร้างสุขให้แก่คนที่เดินตามเธอมา

สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับ เจ้าหน้าที่ก็ยังเป็นคนธรรมดา มีอารมณ์ มีนิสัย ด้วยจิตอาสา จึงมาทำ ต่างฝ่ายต่างต้องทนซึ่งกันและกัน ผู้ใดผ่านได้ ผู้นั้นจึงมีโอกาสประสพผล

ขอขอบคุณรอยประวัติศาสตร์อันนี้ ที่ทำให้เราท่านจะได้ใช้เป็นแนวทาง เพื่อเดินให้ถึงซึ่งความหวัง ดั่่งเช่นเธอ

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เสียงลือเสียงเล่าอ้าง

สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ฝากเตือนมายังผู้ที่มา นั่นคือ เราท่านอาจจะมาด้วยเสียงลือเสียงเล่าอ้าง ต่างๆ นานา

ผลก็คือ คิดว่าสถานที่นี้มีสมุนไพรดี กินแล้วต้องหาย ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์บอกย้ำเตือนว่า การคิดเช่นนั้น เป็นความคิดที่ผิด

เพราะเมื่อคิดดังนั้น จึงละเลยสิ่งอื่นไปหมดสิ้น มาเพื่อนำสมุนไพรกลับไปทาน แล้วตั้งความหวังว่าต้องหาย ดังเสียงที่ได้ยินมา

แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นคือ พฤติกรรม ของผู้ทานต่างหาก ท่านจึงบอกว่า เป็นไปไม่ได้เลย ที่คนมาแล้ว จะทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับธรรมคำสอนของพระภูมีเลย

เห็นได้ชัดจากการสวดมนต์ เมื่อเข้ามาแล้ว ก็ไม่มีสติที่จะสงบกาย วาจา ใจ เพราะคิดว่าไม่สำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่สร้างนิสัยที่จะให้สุขแก่ผู้อื่นเลย เพราะคิดว่า ได้สมุนไพรดีเพียงอย่างเดียวก็พอแล้วนั่นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงให้สติว่า เสียงนั้นขอให้เป็นแค่พาหะที่นำมา หากแต่เมือมาถึง ต้องเรียนรู้ แล้วทำ ผลสุทธิของผู้ประสพผล จึงต้องเป็นคนดี จึงจะประสพผลในแนวทางนี้ได้

หากแต่ไม่คิดจะทำ ไม่อยากทำ ไม่ยินยอมพร้อมใจ พูดง่ายๆ หลังจากฟังเหตุและผล จากหลวงพ่อนิพนธ์แล้ว ก็ไม่สามารถสร้างศรัทธาในธรรมของพระภูมีทีให้ได้ มุ่งหวังแต่สมุนไพรเพียงอย่างเดียว ก็เป็นการเสียเวลาเปล่า เพราะผู้ทำ จึงเป็นผู้ได้ แนวทางนี้จึงไม่เหมาะกับคนเหล่านั้น ควรที่จะหาทางเลือกอื่นที่ชอบแทนดีกว่า ไม่ควรจะมาเสียเวลา ณ ที่นี้ สถานที่นี้ ไม่ได้บังคับให้ต้องมา ต้องเชื่อ ต้องทำ ยิ่งไปกว่านั้น ยังขอบคุณ และซึ้งในน้ำใจของท่านเหล่านั้นอีก ด้วยเหตุที่เมื่อใจไม่ชอบ ไม่อยากแล้ว ก็ไม่ทำตน เป็นก้างขวางคอ ยอมเสียสละสมุนไพรให้แก่คนที่อยากได้ อยากทำ จึงขอกุศลจากการนี้ ให้สุขแก่บุคคลเหล่านั้นด้วย

ลองได้ เมื่อลองแล้ว ไม่ชอบ ก็วาง เผื่อมีคนอื่นชอบ

อย่าไม่ชอบ ก็ทำลายเสีย ... ไม่ให้คนอื่นได้ ...

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

คนป่ามีปืน


วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอนิดเดียว มูลนิธิไทยกรุณา ก็อายุครบสาบขวบแล้ว ทำให้ครบตามข้อกำหนดของกฎหมาย ที่ผู้ที่บริจาคให้มูลนิธิฯ สามารถนำไปขอลดหย่อนภาษีได้

แต่ด้วยหลัก "ตนพึ่งตน" ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์ จำกัด การรับบริจาค เฉพาะในหมู่ผู้ที่มาใช้บริการของชมรมคนรักสุขภาพเท่านั้น

และก็มีจุดเริ่มจากคณะกรรมการของชมรมคนรักสุขภาพ ที่ได้ร่วมกัน บริจาคเงินเพื่อเป็นกองทุนในการดำเนินกิจกรรมของชมรมในอนาคต รวมแล้วได้กองทุนประมาณ สี่ล้านบาท

ในการประชุมกรรมการนั้น จึงได้ประกาศที่จะขยายขอบเขต การให้การรักษาออกไป โดยเฉพาะในส่วนของโรค ที่หมอบอกว่ารักษาไม่ได้ นันคือ โรคเอดส์

ทั้งนี้ จากกองทุนเริ่มต้นดังกล่าว จึงมีนโยบายให้เพิ่มปริมาณสมุนไพร ของแต่ละบุคคลมากขึ้น พร้อมกันนั้น ก็จัดเตรียมเพื่อให้บริการเพิ่ม ในสองส่วน คือ การบำบัดยาเสพติด และโรคเอดส์ ในอนาคตอันใกล้นี้

เมื่อมีคนเข้าใจ และเข้าร่วม กิจกรรมดังกล่าว ก็ถึงวันที่จะเริ่มเปิดฉาก เพื่อแสดงให้เห็นสรรพคุณสมุนไพรของไทย ให้เป็นที่ประจักษ์ เราท่านจะได้เห็นความมหัศจรรย์ และพิสูจน์ให้โลกได้รู้ว่า หากเราเชื่อพระภูมี ทำตามคำสอนของแม่ชีเมี้ยนที่หลวงพ่อนิพนธ์นำมา สิ่งที่วิทยาศาสตร์บอกว่าเป็นไปไม่ได้ จะมาเดินท้าทายกันให้เห็น

วันที่ทางเลือกสายนี้ จะปรากฎผลให้เป็นที่ประจักษ์ คงอีกไม่นาน

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44